Wednesday, December 7, 2011

คำพยากรณ์ภัยพิบัติ จากเด็กชายปลาบู่

คำพยากรณ์ภัยพิบัติ จากเด็กชายปลาบู่





ดูเหมือนว่าภัยพิบัติ และเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ต้นปี 2011 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น สึนามิที่ญี่ปุ่น กัดดาฟี แผ่นดินไหว การปฏิวัติลิเบีย ฯลฯ ประกอบกับคำพยากรณ์ต่าง ๆ จะยิ่งทำให้ชาวโลกยิ่งเชื่อว่า คำทำนายโลกแตก ในปี 2012 ดูท่าจะเป็นจริงมากขึ้นทุกที

สอดคล้องกับจากคำพยากรณ์ของ "เด็กชายปลาบู่" ที่กำลังฮือฮาในโลกไซเบอร์อยู่ในขณะนี้ เพราะไม่เพียงแต่เด็กชายปลาบู่จะทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็น่าหวาดกลัวไม่ใช่น้อยเช่นกัน ซึ่งคำพยากรณ์เหล่านี้ เด็กชายปลาบู่ทำนายเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ เขาเสียชีวิตไปแล้วถึง 37 ปี...ส่วนคำทำนายชวนขนลุกที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ ณ บัดนี้...

นายทองใบ คำสี พ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เป็นสื่อในการบอกเล่าคำพยากรณ์ดังกล่าวให้ฟังว่า... กระผมชื่อนายทองใบ คำสี เกิดวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2481 อายุ 73 ปี เป็นชาวอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี มีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 1 คน ชื่อ "ปลาบู่" ซึ่งได้เสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ตอนเขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน

ก่อนตายบุตรชาย บอกว่า อีก 15 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ และให้ไปซื้อเทปมาบันทึกเสียงเขา แต่ตนไม่ได้ทำตาม เพราะไม่เชื่อว่าเขาจะตายจริง ๆ ตนได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอนที่บุตรชายได้เล่าเมื่อวันที่ 23-25 มิถุนายน พ.ศ.2517 เป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว เรื่องสำคัญ ๆ ที่เขาเล่าคือ เรื่องอดีตชาติของเขา และเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต

ในเรื่องอดีตชาติของเขา เขาบอกว่า หนูระลึกชาติได้จริง ๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตาเป็นทิพย์ หูเป็นทิพย์ หมดทั้งตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ "ชิตะ" ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น "พระศรีอาริยเมตไตรย" ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้

และก่อนจะเล่าถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ปลาบู่ถามว่า "เขื่อนที่ จ.ตาก เจอแผ่นดินไหวพังมั้ย?" ตอนนั้นตนก็ทำงานกับพวกฝรั่ง รู้ว่ามันแข็งแรงมากขนาดไหนก็บอกไปว่า ไม่จมหรอก แต่ปลาบู่บอกว่า "หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตาก นครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย"

ทั้งนี้ ปลาบู่ต้องการให้ตนเป็น "สื่อ" มาบอกให้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว ก่อนจะแก้ไขไม่ได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก (นำรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้ว เพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ ซึ่งปัจจุบันวางกอง ๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว เพราะการเตรียมการป้องกันไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา

และเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเล เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน แต่ถ้ามีการวางท่อใหญ่ ๆ จากตัวเขื่อนลงสู่ทะเลเลย น้ำก็จะระบายลงท่อไปสู่ทะเล ไม่ท่วมบ้านเรือนและแผ่นดินที่อยู่ข้างบน น้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ในระยะยาว และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอดลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น (ปัจจุบันเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว)

หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ และเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ตึกรามบ้านช่อง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะพัง อีกทั้ง น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมาก ๆ ตนจึงขอวิงวอนรัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาดังกล่าวเหล่านี้ด้วย

และปลาบู่ถามอีกว่า อีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? (2544) จะมีเครื่องบินชนตึก, อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร ? (2547) จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก, อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร ? (2552) จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ, อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ กรุงเทพฯ จมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง "ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย" (ยามสอง คือประมาณเวลา 22.00 –24.00 น.) และอีก 40 ปี จะเกิดสงครามนิวเคลียร์!!!

นอกจากนี้ ปลาบู่ยังได้ขอร้องตนว่า ขอให้พ่อยกที่ดินที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ให้หนูนะ และขอให้พ่อปลูกต้นโพธิ์ไว้ 200 ต้น หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้ง ตัวโตเท่านี้จะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด "สุทัศน์เทพไพฑูรย์" (สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหาริย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ซึ่งต่อไปประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม)

โดยที่สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา (ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ) บนเขาลับแล (โครงการจัดตั้งฯ วัดป่าร่มโพธิ์ศรีฯ) จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้างโน่นสร้างนี่จนสร้างไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งในปัจจุบันตนได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว

ตนได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอน ตามเรื่องที่ปลาบู่เล่าเป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว ปัจจุบันนี้ตนอายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ และเชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง...

ที่มา
http://fb.kapook.com/hilight-65424.html

Wednesday, November 30, 2011

หุ่นกระบอกบิน ตุ๊กตาหิน

หุ่นกระบอกบิน ตุ๊กตาหิน
ผู้เขียน : ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

เด่นนั่งอยู่ที่ม้าหินริมสระน้ำในวัดแห่งหนึ่ง มองตุ๊กตาจีนทำจากหินสีเขียวตัวหนึ่ง เหมือนกำลังระลึกถึงใครสักคน ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเขา

เขาเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจติดตั้งระบบสูบน้ำเพื่อบำบัดน้ำเสีย งานล่าสุดของเขาคือ ปรับปรุงสระน้ำในวัดนี้ จากสระเก่าสกปรกให้เป็นสระที่มีระบบกรองน้ำด้วยถังทราย ถ่านแกลบ ให้สามารถนำน้ำมาใช้ได้ในบางกิจกรรมที่ไม่ต้องการน้ำสะอาดอย่างน้ำประปา เช่นรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น หรือนำน้ำที่กรองแล้วบางส่วนไปฆ่าเชื้อต่อด้วยหลอดรังสียูวีก่อนนำไปราดห้องน้ำ งานของเขาเสร็จแล้ว แต่เขากำลังนึกถึงป้าของเขาซึ่งเป็นเจ้าของร้านเจ้าของขายของชำ

...................................................

ร้านขายของชำของป้าที่ต่างจังหวัด เป็นร้านขายของชำที่ดีที่สุดเท่าที่เด่นเคยรู้จัก แตกต่างกับร้านขายของชำแถวบ้านเด่นอย่างสิ้นเชิง ร้านแถวบ้านมักจะอมของแถมเป็นประจำ เช่นไม่แจกจานตามเงื่อนไขทั้งที่ซื้อนมข้นหวานสิบกระป๋อง ของก็เก่าเลือกก็ไม่ได้ เช่นยาสีฟันที่ใส่ตู้ตากแดดจนกล่องมีสีซีดจาง อาหารกระป๋องที่บุบ เทปกาวที่เหลืองจนใช้ไม่ได้ในห่อ หลอดไฟที่ขาด ซึ่งพอแกะแล้วก็ไม่ให้เปลี่ยน และที่ฝังใจมากที่สุด คือโกงเกมส์จับฉลากเบอร์ละบาท ในสมัยนั้นปืนฉีดน้ำราคายี่สิบบาท มีฉลากเหลืออยู่สิบใบ จับจนหมดสิบเบอร์ยังไม่เจอเบอร์ที่ตรงกับปืนฉีดน้ำ ทราบจากเด็กที่โตกว่าภายหลังว่า ทางร้านแอบฉีกหนึ่งเบอร์ เอาเบอร์ที่ฉีกออกนั้นเขียนเป็นรางวัลปืนฉีดน้ำให้ลูกเขาเล่นเอง

เมื่อมีร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกมาเป็นแหล่งซื้อของทางเลือกใหม่ เด่นก็รู้สึกสะใจที่ร้านนั้นเจ๊งไป

หนึ่งในเหตุการณ์ประทับใจของเด่นเกี่ยวกับร้านขายของชำของป้า เกิดขึ้นในวัยเด็ก ขณะที่แม่ของเด่นพาเด่นไปเยี่ยมป้าที่ร้านขายของชำของป้าในต่างจังหวัด

ในวันนั้นมีคนดูยากไร้มาเดินมองๆ ข้าวสารที่ร้านขายของชำแห่งนั้น ในขณะที่เจ้าของร้านนั่งอยู่ หากเป็นร้านอื่นบางร้าน คนยากไร้คนนั้นคงโดนไล่ว่า อย่ามายืนขวางหน้าร้าน แต่ภาพที่เด่นเห็นคือ ป้าไปหยิบถุงพลาสติกไปชั่งข้าวให้คนยากไร้คนนั้นหนึ่งกิโลกรัม พร้อมให้หัวไช้โป๊วแห้งไปอีก ปากก็บอกว่า “ไม่มีเงินก็เอาไปกินเถิด ชั้นให้”

เมื่อคนยากไร้ได้ข้าวก็ดีใจ ยกมือไหว้ อวยพรเสียยกใหญ่ ก่อนจากไป

เด่นจึงถามป้าว่า “ให้ไปเปล่าๆ เลยเหรอครับป้า ผมว่าให้เปล่าๆ อย่างนี้ขาดทุนแย่”
ป้ากลับตอบมาว่า “เค้าอดจริงๆ ให้เค้าไปเถอะ ถ้าเค้าไม่มีกิน เค้าก้อต้องขโมย มันบาป”

แม้เด่นจะคิดว่า หากมีคนใจดีแบบนี้อยู่มากๆ คนจนคงงอมืองอเท้า ไม่ดิ้นรนทำมาหากิน แต่เด่นก็อดประทับใจคุณป้าไม่ได้ เท่าที่แม่เล่าให้ฟัง ป้าเป็นคนใจดี ใครชักชวนเอ่ยปากให้ร่วมบุญร่วมทานใด ป้าไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้ง ร่วมบุญทุกครั้งที่มีโอกาสมาโดยตลอด

เด่นทำงานรับเหมาเกี่ยวกับการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งไม่มีกำไรมากนัก แต่พออยู่ได้ไม่เดือดร้อนเพราะเด่นดำเนินธุรกิจแบบมีกรอบคุณธรรม ไม่ขูดรีดกำไรจนเกินไป แบบที่ป้าและพ่อแม่สอนสั่ง ส่วนป้ายังเปิดร้านขายของชำที่ต่างจังหวัด พออยู่ได้เช่นกัน เพราะร้านสะดวกซื้อและห้างค้าปลีก ยังไม่สนใจหมู่บ้านเล็กๆ ป้ายังขายของอยู่ เพราะเหตุผลว่าคนในหมู่บ้านจะเข้าเมืองก็ลำบาก ขายของให้เขาจะได้สบายๆ ไม่ต้องเดินทางไกล

Facebook ทำให้เด่นยังได้คุยกับลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เป็นลูกของป้า เขาได้รู้และรู้สึกยินดีกับป้าและลุงเขยที่เพิ่งจะขายที่ดินจำนวน 10 ไร่ ได้เงินมากพอที่จะไปซื้อที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์เกือบ 300 ไร่ เพื่อเริ่มการปลูกยาง ไม้เศรษฐกิจที่กำลังมีราคาดี และจะกันที่ปลูกข้าวเพื่อทำสวนเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เด่นรู้สึกว่าสวรรค์ได้ตอบแทนคนดีๆ อย่างท่าน ถ้าเด่นเดาไม่ผิด คุณป้าคงกันที่ไว้ปลูกข้าว ปลูกกล้วย เพื่อแจกคนจนแน่นอน ว่าแล้วเด่นจึงส่งข้อมูลแบบการสร้างจักรยานสีข้าว จักรยานสูบน้ำ กังหันลมสูบน้ำจากถัง 200 ลิตรใบเก่า เครื่องกรองน้ำจากถังเก่าใส่ทรายและถ่านแกลบ ไปให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาพิจารณา เผื่อว่าจะได้เอาไปให้คุณป้าใช้งานในสวน

ภาพความสุขของครอบครัวป้ามีอยู่ได้ไม่นานนัก เหมือนสวรรค์เปลี่ยนใจมากลั่นแกล้ง หลังจากนั้นไม่นาน เด่นได้ทราบว่า ป้าป่วยเป็นมะเร็ง

เด่นเกิดความสงสัย คนใจบุญที่ทำดีมาทั้งชีวิตแบบป้า ไม่น่าจะไม่ต้องมาประสบชะตากรรม พบเรื่องราวร้ายๆ หรือว่าผลบุญไม่ช่วยป้าเลย

รับรู้ข่าวของป้ามาโดยตลอด รับรู้ว่าป้าต้องทนทุกข์ทรมานกับการรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด อยู่เนิ่นนาน จนป้าบอกว่าจะไม่ไปรักษาแผนปัจจุบันอีกแล้ว

ด้วยความห่วงใยคุณป้า แม่และเด่นพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับ หมอสมุนไพรที่มีจรรยาบรรณและเชื่อถือได้ จนในที่สุดก็เจอหมอดีเข้า หมอคนนี้มีสูตรยาต้มที่ระงับมะเร็งได้ คนป่วยยากจนที่ไม่มีเงินไปรักษากับแผนปัจจุบันมารักษากันมาก และส่วนใหญ่ได้ผลดีด้วย มีหลักฐานยืนยันจากผู้ป่วยหลายราย ซึ่งดีขึ้นจากการแพทย์ทางเลือกนี้

เด่นลงทุนไปหาหมอในวันหยุด เมื่อพบกับหมอแล้วยิ่งเกิดความศรัทธา บ้านหลังเล็กมีสมุนไพรอยู่เต็ม มีคนป่วยมาพบมากพอควร ในระหว่างที่รอคิวพบหมอ ก็พบเจ้าหนี้ของหมอยา มาทวงหนี้และค่าเช่าบ้านข้างๆ ที่หมอยาเช่าใช้เป็นที่เก็บยา เจ้าหนี้คนนี้ใจดีมาก แกมาถามดีๆ ว่า เดือนนี้มีจ่ายไหม หมอยาบอกขอผัดผ่อนไปก่อน พร้อมให้เหตุผลว่า เดือนที่แล้วคนจนมารักษาเยอะ เลยต้องรักษาฟรีไปบ้าง รับเงินพอแค่เขามีจ่ายบ้าง

เจ้าหนี้ก็ยิ้มไม่ว่าอะไร บอกว่าไม่เป็นไร สำหรับหมอมีเมื่อไรค่อยจ่ายก็ได้

เมื่อถึงคิวเด่นซึ่งขอพบหมอเป็นคนสุดท้าย หมอกลับไม่ยอมจ่ายยา บอกว่าอยากให้พาคนป่วยมาดูสภาพ ถ้าทำได้ ถามแค่ว่ายังกินข้าวดื่มน้ำเองได้นะ เพราะต้องกินยาต้ม

เด่นถามหมอว่า ทำไมไม่ขึ้นราคายาละครับ จะได้มีเงินจ่ายหนี้ ซื้อบ้านข้างๆ ที่ปกติเช่าเป็นคลังเก็บยา หมอตอบกลับด้วยคำพูดที่เด่นประทับใจว่า “จะเอาอะไรหนักหนา กับคนเจ็บคนป่วย แค่เขาเจ็บป่วย เขาก็ทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว”

เด่นเชื่อว่าสวรรค์กลับมาช่วยคุณป้าแล้ว ป้าจะได้เจอหมอดี และจะรีบพาป้ามาหาหมอ บุญย่อมรักษาคนดี เจอหมอดีขนาดนี้ ในที่สุดป้าก็ได้ไปซื้อยากินตามคำแนะนำของเด่น เด่นดีใจที่รู้ว่าป้ามีกำลังใจขึ้นมามาก ใช่สิ สวรรค์ต้องคุ้มครองคนดีๆ

เด่นคอยลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ว่าอาการป้าจะดีขึ้นไหม คอยถามข่าวอยู่อย่างสม่ำเสมอ แล้วก็เป็นไปตามคาด แค่เจ็ดวันป้าก็ดีขึ้น เพราะไม่มีอาการปวดกระดูกเหมือนเคย แต่ยังเหนื่อยหอบอยู่ เด่นคิดว่า แน่นอน คนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ดลใจให้ เจอหมอดียาดี อาการก็ต้องดีขึ้น

แต่แล้ววันที่แปดก็ได้ข่าวว่า ป้าไม่ยอมกินอะไรเลย วันนึงกินข้าวคำสองคำ แต่ลูกป้าอีกคนที่เฝ้าไข้อยู่ ก็พยายามหยอดยาตามลงไปในปากของแกไม่ให้ขาด หยอดได้ 1-2 ช้อน ไม่เต็มแก้ว เช้าเย็นอย่างเคย

เด่น รู้สึกไม่สบายใจจนกังวล เพราะยาที่เขาแนะนำไม่ถูกกับโรคหรือเปล่า ป้าทรุดเพราะ ยานั้นหรือเปล่า

คืนหนึ่งเด่นฝันไป เด่นฝันว่า ได้เทียวไปเทียวมา ซื้อยาไปให้ป้ากินอยู่หลายต่อหลายเที่ยว แต่ป้าก็ไม่ดีขึ้น จากยาหนึ่งชะลอม เป็นสองชะลอม จนเป็นห่อใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อวางห่อยาขนาดใหญ่ลง แกะผ้าห่อออก ปรากฏว่าในห่อใหญ่ กลับกลายเป็นโลงศพขนาดใหญ่สวยงามสีขาว มีลายเขียนสีเป็นสีทอง เปิดโลงศพดูพบเพชรเม็ดใหญ่อยู่หนึ่งเม็ด ในโลงศพนั้น แล้วก็มีฝูงหุ่นกระบอกผู้หญิงบินได้เป็นจำนวนมากแต่ละตัว สวยงามมีอาภรณ์ประดับแวววาวระยิบระยับทุกตัว บินลงมาวนเวียนที่ตัวเด่น หุ่นกระบอกที่สวยงามตัวหนึ่ง กล่าวกับเด่นด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “รักษาไม่หาย ยังไงก็ต้องตาย ใส่โลงศพนี้ แน่นอน”

เด่นสะดุ้งตกใจตื่น ดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลา 2:55 น. ของวันใหม่ เกิดความสะพรึงกลัวในความฝันอย่างบอกไม่ถูก จนถึงขั้นไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ปวดปัสสาวะอยู่นาน

ตอนสาย ลูกพี่ลูกน้องของเขาประกาศข่าวการเสียชีวิตของคุณป้า ว่า “แม่หลับสบายแล้ว ต่อไปจะได้ไม่ต้องเจ็บต้องปวดอีก”

ทราบภายหลังว่าป้าสิ้นลมในเวลา 3:05น.
_______________________________

ความดีที่คุณป้าทำมาตลอดชีวิตไม่ได้ช่วยป้าเลย เด่นคิดว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เด่นเลิกเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ คิดว่ามันเป็นเรื่องหลอกคนให้ง่ายต่อการปกครองในสมัยก่อน เริ่มใช้ชีวิตอย่างไร้ศีลธรรม และพบว่าชีวิตของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ รายได้มากขึ้นจากการขูดรีดเอากำไรจากคนที่ไม่รู้ ขายของถูกๆ ในราคาแพง เมื่อกล้าขูดรีดเอากำไรครั้งหนึ่ง ก็กล้าทำขึ้นเรื่อยๆ อย่างย่ามใจ จนในที่สุดก็ได้รับงานใหญ่มา เป็นการปรับปรุงบ่อน้ำโบราณอายุสองร้อยปีเศษในวัดแห่งหนึ่ง รายละเอียดคือ เปลี่ยนสระน้ำซึมที่ถูกละเลยจนน้ำเน่า ขยะเต็ม ให้มีสภาพดีขึ้น ติดเครื่องสูบ ไปลงเครื่องกรองที่ใช้ทราย ถ่านแกลบ กรวด หิน ให้น้ำที่เคยขุ่นมีตะไคร่ใสขึ้น เพื่อนำน้ำไปรดน้ำต้นไม้ ล้างพื้น และ ราดส้วม เพื่อที่จะลดปริมาณการใช้น้ำประปา น้ำส่วนใหม่จากดินรอบๆจะซึมเข้ามา (ไม่ใช่น้ำบาดาลใต้ดินลึกๆ ที่หากสูบขึ้นมาใช้มากเกินไป อาจส่งผลให้ดินทรุดตัว) ทำให้น้ำมีสภาพดีขึ้น งานนี้กำไรมหาศาลรออยู่ ผู้ตรวจรับเป็นพระสงฆ์ที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องสูบน้ำ และทางวัดก็จ่ายสดไม่มีเชื่อด้วย ขอเบิกเท่าไรก็ให้ตลอดไม่มีปฏิเสธ เพราะมีเจ้าภาพหลายคนร่วมทอดผ้าป่าถวายเงินไว้แล้ว อีกทั้งหัวหน้าคณะของเจ้าภาพ ก็เป็นเศรษฐีหุ้น พร้อมเพิ่มเงินให้หากเงินไม่พอ
_______________________________

ในที่สุดวันส่งมอบงานให้ทางวัดก็มาถึง พระสงฆ์องค์เจ้าประทับใจในผลงานมาก งานสมบูรณ์จนแทบจะไม่มีที่ติ จนหลายคนถามเด่นว่าทำงานดีขนาดนี้จะมีกำไรเหรอ เด่นยิ้มอย่างพอใจ บอกว่า

“เอาน่า ถือว่าร่วมทำบุญละกัน ปกติคนเราทำบุญค่าน้ำประปาให้วัด ก็ประหยัดแค่เงินที่ถวายนั้น แต่ถ้าเราถวายระบบที่ช่วยประหยัดน้ำได้ในระยะยาว วัดก็ประหยัดเงินได้มาก แถมยังมีจักรยานสูบน้ำเป็นพลังงานทางเลือกลดการใช้ไฟฟ้า แถมพระเณรชาวบ้านรอบวัดได้ออกใช้เป็นที่ออกกำลังกายได้อีกด้วย”

เด่นได้กลับใจ ทุ่มเททำอุปกรณ์ทุกอย่างที่เคยคิดจะ ทำให้ป้าใช้ ที่สวนสามร้อยไร่ของป้า ซึ่งสุดท้ายไม่ได้ทำ เพราะ ป้าเสียไปซะก่อน
_______________________________

เด่นไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ถึงสาเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจไม่ขูดรีดวัดอย่างที่ตั้งใจทำในตอนแรก เนื่องจากความฝันของเขา ในคืนหนึ่งในระหว่างที่รับงาน ณ วัดนี้ เด่นไม่อยากเล่า เพราะมันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และคนบางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

เย็นวันหนึ่ง เด่นยืนที่ริมสระในวัดนึกในใจ ว่า “ป้า ค้าขายแบบป้าเมื่อไรจะรวย ต้องขูดรีดแบบผม ตั้งแต่ผมเริ่มทำธุรกิจแบบเอาเปรียบ ขูดรีดคนที่ไม่รู้ ผมรวยเอาๆ ผมอาจเหมือนร้านชำที่เอาเปรียบ ที่วันหนึ่งอาจถูกร้านสะดวกซื้อ มาแย่งลูกค้าจนเจ๊ง แต่ธุรกิจที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างผม คงอีกนานกว่าจะมีคนมาแข่งได้ ป่านนั้นผมก็รวยแล้ว ป้ารู้ไหม ขนาดเศรษฐีที่ขุดบ่อถวายวัด ยังเป็นโรคอหิวาตกโรคตายเลย การได้รับผลดีชั่ว มันเป็นผลจากความบังเอิญ เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องที่ใช้หลอกคนเท่านั้น”

เด่นได้พบคุณป้าร้านขายของชำอีกครั้งในความฝัน แกแต่งกายชุดขาวสะอาด แกมาบอกว่า “ตอนนี้แกอยู่บนสวรรค์ในวิมานอย่างมีความสุขแล้ว นึกถึงเด่น เห็นว่ากำลังจะโกงวัดโกงพระโกงเจ้าทำบาปใหญ่ เลยลงมาหาเพื่อห้าม และอยากจะบอกว่าทำดียังไงก็ต้องได้ดี แม้ไม่เห็นกันในภพปัจจุบัน ก็จะติดตัวคนทำดีไป จนกระทั่งให้ผลสักวันหนึ่งแน่นอน ป้ากับท่านเศรษฐีที่ขุดสระน้ำถวายวัด อาจจะตายด้วยโรคร้าย ก็เพราะกรรมเก่าที่ป้าเคยค้าขายยาพิษในอดีตชาตินานมาแล้ว และท่านเศรษฐีที่อดีตชาติได้วางยาศัตรูจนตายเช่นกัน”

ป้าพูดต่อ “ตอนนี้ชดใช้หนี้กรรมหมดแล้ว และกำลังเสวยความสุขอยู่ในวิมาน ด้วยแรงส่งของกุศลกรรมที่ตั้งใจทำมาตลอดชีวิต วัฏสงสารนี้ยาวไกลนัก จะมีสักกี่ชาติ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา รู้กฎแห่งกรรมวิบาก.

“ป้าหิวบ้างไหม” เด่นถาม

ป้าบอกว่า “แค่คิดก็อิ่มแล้ว ไม่รู้จักคำว่าหิวเลย เป็นผลจากที่ป้าชอบให้ของกินคนอื่น และปรารถนาให้เขาอิ่ม ไม่ต้องทุกข์ทรมานจากความหิวโหย”

ป้ายังบอกด้วยว่า “ลึกลงไปหนึ่งวา ที่กึ่งกลางบ่อ มีตุ๊กตาหินจีนรูปนักรบสวยงามตัวหนึ่งจมอยู่ใต้บ่อ นำตุ๊กตานั้นขึ้นมาด้วยนะ ท่านเศรษฐีพ่อค้าที่ไปค้าขายที่เมืองจีนสมัยอยุธยา นำตุ๊กตาพวกนี้ถ่วงห้องอับเฉาเรือ ในตอนขากลับที่เรือว่าง ถ่วงเรือไม่ให้ล่ม และนำมาถวายวัดนี้ พร้อมขุดสระน้ำนี้ถวาย ตุ๊กตาหินตัวนี้ตัวใหญ่ สูงเกือบสองเมตร แบ่งเป็นสองส่วน ต่อกันด้วยสลักซึ่งเป็นแท่งหินที่ระดับเอวสลักของตุ๊กตานั้นเก็บอยู่ในวิหารข้างโบสถ์ ส่วนง้าวของตุ๊กตาหิน ตอนนี้ด้ามถูกวางพาดเป็นเชิงเทียนในโบสถ์ ใบง้าวอยู่ใต้ฐานพระพุทธรูป จัดการประกอบให้เรียบร้อยนะ”

เด่นเชื่อว่าเขาไม่ได้ฝันเหลวไหล เพราะเมื่อสูบน้ำเก่าหมดบ่อ ขุดดินลึกลงไปอีกสองเมตรที่กึ่งกลางบ่อ ก็พบตุ๊กตาเนื้อหินเขียวสวยงามตัวหนึ่ง ที่แบ่งเป็นสองชิ้นจริงๆ สลักของตุ๊กตา ด้ามง้าวและ ใบง้าว อยู่ในที่ตามที่ป้าพูดให้ฟัง และตอนนี้ทางวัดได้เชิญตุ๊กตาตัวนี้ ออกมาตั้งแสดงอยู่ที่มุมหนึ่งในวิหารข้างสระน้ำ

เด่นกำลังจ้องมองตุ๊กตาหินเขียว มันเป็นประจักษ์พยานของสิ่งลี้ลับที่มีอยู่จริง และคิดถึงป้าที่เชื่อเรื่องภพภูมิอื่น การเวียนว่ายตายเกิด และกฎแห่งกรรม เด่นหันมาเป็นผู้ประกอบอาชีพตามหลักคุณธรรม เพื่อความสุขของสังคมอีกครั้ง


ที่มา
http://www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=548%3Ashort-story-131&catid=39%3Afiction&Itemid=27

เรื่องของคนขายน้ำฟักทองต้ม

เรื่องของคนขายน้ำฟักทองต้ม
ผู้เขียน : ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

เมื่อน้ำฟักทองต้มที่เตรียมมาขายใกล้หมด ก้นหม้อเริ่มข้นงวด ศรัทธาเติมน้ำสะอาดไปเล็กน้อย แล้วเอียงหม้อต้มเพื่อตักน้ำฟักทองที่เหลือก้นหม้อ ใส่ถุงได้สิบถุง ตั้งใจนำไปแจกคนที่ควรอนุเคราะห์ ดังเช่นที่เขาปฏิบัติมาทุกวัน

ความคิดเผื่อแผ่ของเขา เกิดขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ในวันที่ศรัทธาไม่มีเงินซื้อข้าวกิน และได้รับความอนุเคราะห์ข้าวแกงหนึ่งจานโต จากแม่ค้าขายข้าวแกงใจดี

ในขณะนั้นศรัทธากำลังชั่งใจลังเล ที่จะชิงทรัพย์แม่ค้าคนนั้นในช่วงปลอดคน เพราะคิดว่า โลกนี้ไม่มีความเมตตากรุณาอยู่จริง และผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะมีชีวิตรอด

“เอ้าไอ้หนุ่ม วันนี้ข้ามีกำไรพอคุ้มเหนื่อยแล้ว เอ็งไม่มีเงินก็กินไปเถอะ ไม่พอตักเติมเองเลยนะ เดี๋ยวจะเก็บร้านแล้ว” ป้าพูดพลางยื่นข้าวแกงให้ ทำให้เขาเปลี่ยนใจในทันที และเชื่อว่าความเมตตากรุณายังมีอยู่จริงในโลก และมันได้ช่วยหยุดการตัดสินใจก่อคดีชิงทรัพย์ครั้งแรกของเขา หยุดว่าที่โจรหนึ่งคนไม่ให้เป็นโจรเกิดขึ้นมาในโลก แต่กลับสร้างคนที่จะมีใจเมตตากรุณาต่อไปอีก

ศรัทธายกมือไหว้ด้วยใจเคารพจริงแบบที่น้อยครั้งจะไหว้ใคร และบอกป้าว่า “ขอบคุณครับ ไว้มีเงินจะมาจ่ายค่าข้าวคืนให้นะป้า” ป้าตอบเพียงว่า “ไม่เป็นไร เอ็งตั้งใจเรียนให้จบ จะได้เลี้ยงพ่อแม่ แล้วถ้ามีเงินก็เอาไปช่วยเหลือคนอื่นที่เขาไม่มีต่อๆไปละกัน”

ศรัทธาไม่เคยลืมข้าวราดแกงจานนั้น และปัจจุบันนี้อาชีพพ่อค้าขายน้ำฟักทองของเขานั้น นอกจากจะให้ความภูมิใจที่มีส่วนทำให้คนอื่นสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้เขามีโอกาสที่จะส่งต่อความกรุณานั้นต่อไปยังผู้อื่น และหวังว่าบางคนในหมู่ผู้อื่นที่ได้รับนั้นจะส่ง เชื้อแห่งความกรุณานั้นไปอย่างไม่สิ้นสุด

.............................

รถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่งเข้ามาจอดชิดร้านขายน้ำฟักทอง กระจกด้านที่นั่งคู่กับคนขับเปิดขึ้น หญิงสาวในรถคือแฟนเก่าของศรัทธา เธอยิ้มให้อย่างคุ้นเคย แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “พี่ธาคะ อยากเชิญพี่ไปฟังแผนธุรกิจของบริษัทธุรกิจส่งเสริมสุขภาพแบบเครือข่ายเปิดใหม่ ค่ำนี้นะคะ รับรองรวยแน่ๆ ธุรกิจใหม่โอกาสยังมีอีกเยอะ เพราะเราเป็นกลุ่มแรกๆ”พูดพลาง ยื่นเอกสารเชิญชวนจากรถเก๋งใหม่เอี่ยม ก่อนกล่าวลาและขับรถออกไป

คำว่าธุรกิจส่งเสริมสุขภาพถูกจริตศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เขาสนใจ เขาอยากเห็นคนอื่นมีสุขภาพดีไม่ต้องเจ็บป่วย เสียค่าหยูกยาไปหาหมอ แถมยังอาจหารายได้อีกทางซึ่งก็สำคัญในใจเขาไม่แพ้กัน

แฟนเก่าของศรัทธา โทรศัพท์มาชวนศรัทธาไปฟังแผนธุรกิจเครือข่ายเพื่อส่งเสริมสุขภาพนี้หลายครั้งแล้ว และวันนี้มาเชิญด้วยตัวเอง

เธอจึงตัดสินใจแต่งงานกับชายอื่นที่คบหากันไม่นานในปีที่แล้ว หลังจากศรัทธาเป็นฝ่ายขอเลิก เนื่องจากตัวศรัทธาเองมีปัญหาเรื่องการเงิน จนไม่อาจที่จะแต่งงานกับเธอได้ตามที่เคยวางแผนไว้ จึงตัดใจบอกเลิกเปิดทางให้เธอแต่งงานกับชายอื่น ที่อาจทำให้ชีวิตเธอดีกว่าคบกับเขา เพราะศรัทธา คิดว่า “ความรักที่แท้จริงคือ ปรารถนาดีกับเขา และไม่จำเป็นต้องจบด้วยการครอบครอง”

แฟนเก่าของเขาคงมีเวลาไม่มากนักกับการรอคอย เพราะอายุหล่อนก็ใกล้ 30 ปีไปแล้ว ส่วนศรัทธาในตอนที่ยังทำงานโรงงานนั้น มีปัญหาขัดสนเงินทองอย่างรุนแรงเพราะอุบัติเหตุในชีวิตที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน จนต้องล้มเลิกแผนการแต่งงาน

ศรัทธา นึกถึงความหลัง ก่อนที่เขาจะมาขายน้ำฟักทอง.....

เขาเคยเป็นพนักงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรฝีมือระดับต้นๆ ของโรงงานแห่งหนึ่ง ทำงานดูแลเครื่องจักรตามตารางหยุดซ่อมบำรุงตามกำหนดเวลา กว่าจะครบทุกเครื่องก็เวียนเข้ารอบการซ่อมบำรุงใหม่อีกแล้ว เรียกว่าแทบไม่มีเวลาหยุดพัก

ในช่วงที่อนาคตเขากำลังเริ่มเข้าที่เข้าทางเมื่อสองปีที่แล้ว อุบัติเหตุในชีวิตก็เกิดขึ้น พ่อที่เลี้ยงดูเขาและน้องชายมาทั้งชีวิต นับจากแม่ของเขาตายจากไป เกิดป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง ค่ารักษาและค่ายาที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินเก็บที่เขาที่อุตส่าห์สู้ทนเก็บมาหลายปีเพื่อวางแผนเพื่อซื้อบ้านและแต่งงานค่อยๆ หมดไป น้องชายทำงานขับรถส่งของเงินเดือนไม่มากนัก ทำให้ศรัทธารับผิดชอบเงินค่ารักษาพ่อเป็นหลักโดยมีน้องช่วยบ้างเพียงเล็กน้อย

พ่อเคยบอกว่า “พ่อแก่แล้ว ปล่อยให้พ่อตายไปเถอะไม่ต้องรักษา แค่เลี้ยงลูกสองคนจนโตขึ้นมาเป็นคนดีมีงานทำสุจริต พ่อก็ดีใจมากแล้ว” ศรัทธาน้ำตาไหล คำพูดนี้แสดงว่าพ่อรักและห่วงใยอนาคตของศรัทธาและน้องมากกว่าชีวิตตนเอง อย่างไรก็ตามเขาคิดว่า ชีวิตนี้มีพ่อคนเดียว พ่อที่รักเขามากขนาดที่ว่าไม่ยอมแต่งงานใหม่ แต่ตัดสินใจเลี้ยงดูเขาด้วยการตื่นแต่ตีสามทุกวัน ทำงานโดยไม่มีวันหยุด ไปรับจ้างเข็นสินค้าในตลาดสดได้เงินมามาอย่างยากลำบาก จนเขาต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระพ่อ และเขาสามารถเรียนจบปวส.ช่างกลโรงงาน

หลายคนบอกว่าเขาฉลาดความจำดี น่าจะได้เรียนสูงๆ กว่านี้ เขาทำงานในโรงงานอย่างตั้งใจ มีผลการทำงานที่ดีเด่นเสมอ เงินเดือนปีสุดท้ายในโรงงานที่เขาทำงานมาหลายปี เดือนละหมื่นห้าพันบาท มากกว่าเงินเดือนของพนักงานธุรการระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ในโรงงานเสียอีก ทำให้พ่อได้หยุดพักสบายขึ้นมามากแม้ไม่ถือว่ารวยมากนัก แต่ความสุขของเขาและพ่อมีอยู่ไม่นาน สแงปีที่แล้วพ่อก็ต้องรับข่าวร้ายว่า พ่อป่วยเป็นโรคร้ายที่ต้องรักษาต่อเนื่อง เขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เพื่อยื้อชีวิตพ่อไว้ให้นานที่สุด แม้แต่อนาคตเขากับแฟนสาวที่คบกันมาหลายปี

เขาบอกพ่อว่า “พ่อผมยังพอจ่ายค่ารักษาพ่อไหว ผมอยากพูดคุยกับพ่อแบบนี้ ไม่อยากไหว้รูปพ่อบนหิ้งบูชา จะมีประโยชน์เอาอะไร ถ้าผมมีบ้านมีครอบครัว แต่ต้องทิ้งให้พ่อต้องตายจากผมไป พ่อสอนความกตัญญูให้ผมเห็นด้วยการเลี้ยงดูย่า ผมต้องกตัญญูต่อพ่อตอบแทนบ้าง”

หลังจากพ่อป่วย ค่าแรงแต่ละงวดถูกนำไปจ่ายค่ายาพ่อและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จนหมด แถมยังต้องไปนำเงินเก็บที่ออมไว้ออกมาใช้ด้วย ดับฝันที่จะซื้อที่ปลูกบ้านของตัวเอง ยังคงอยู่ในบ้านเช่าหลังเก่าโทรม ก่อนหน้านี้เขาเคยแอบคิดจะซื้อที่ทำสวนเป็นของขวัญให้พ่อ

เพื่อให้มีเงินรักษาพ่อเขาอย่างต่อเนื่อง เขาต้องทำงานหนักขึ้น ใช้จ่ายน้อยลง ใครไม่ทำ OT เขาจะขอทำหมด ค่ายาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศก็มีราคาแพง จ มากกว่ เงินเดือน ลามไปถึงเงินเก็บ กระทบถึงอนาคตการมีครอบครัว

เขาจำกัดงบค่าอาหารของเขา เพียงสัปดาห์ละสี่ร้อยบาทเท่านั้น

อาหารเช้าของเขาคือ แซนด์วิช แฮม ไส้กรอก หรือ หมูหยอง หรือข้าวเหนียวหมูทอดราคาสิบบาท และน้ำเต้าหู้หกบาท ที่ขายตรงหน้าโรงงาน มื้อกลางวันคือข้าวฟรีของทางโรงงานที่โรงอาหาร และกับข้าวอย่างละสิบบาท ที่ขายถูกแบบราคาอาหารในโรงงานและมีขายเฉพาะมื้อเที่ยง เป็นมื้อที่ตักตวงความอิ่มมากที่สุดสำหรับศรัทธากับเพื่อนๆ ที่ซื้อกับข้าวมาคนละอย่างแล้วแลกกันกินเป็นวงใหญ่ ส่วนมื้อเย็นคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลวกน้ำร้อนสองห่อ 12 บาท ในช่วงพักก่อนทำ OT อย่างดีก็มีนมกล่องเพิ่มมาอีกหนึ่งกล่อง 10 บาท เพื่อบำรุงร่างกาย เลิกงานจาก OT สี่ทุ่ม ก็แทบหมดแรงเดิน ขึ้นรถรับส่งโรงงานได้ก็หลับถึงบ้าน จนเด็กรถมาปลุกให้ลงรถ ทำงานหนักใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสน เพื่อหาเงินมาจ่ายค่ายาให้พ่อของเขา

แล้ววันหนึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้าง จากปัญหาหนี้เสียต่างประเทศ ก็ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง กระทบเป็นทอดๆ จนโรงงานที่ศรัทธาทำงานได้รับผลไปด้วย เจ้าของโรงงานตัดสินใจลดคนงาน ศรัทธาและเพื่อนหลายคนถูกเลิกจ้าง

เคยคิดน้อยใจว่าเพราะเขาตั้งใจทำงานดีมากเกินไปหรือเปล่า ทำงานจนเครื่องไม่เสียมากอย่างเคย แถมยังสอนให้พนักงานประจำเครื่อง สามารถช่วยดูแลเครื่องจักรที่จุดสำคัญทำให้ลดการเสียได้มาก ตั้งแต่เขาได้มาดูแลงานซ่อม เครื่องจักรรุ่นที่มีใช้มากที่สุดในโรงงานและมีปัญหาเสียซ้ำซาก ปัญหาก็ค่อยๆหมดไป ยอดการสั่งชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องทดแทนลดลง กระทบถึงญาติคนหนึ่งของเจ้าของ ซึ่งมีผลประโยชน์กับบริษัทขายอะไหล่เครื่องจักร เมื่อมีการลดคนงาน ญาติคนนั้นจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ศรัทธา และเพื่อนๆ ร่วมแผนกที่ขัดขวางผลประโยชน์ของเขาออกจากโรงงานไปเป็นกลุ่มแรก ด้วยเหตุผลที่ว่า “เดี๋ยวนี้เราไม่มีปัญหาเครื่องเสียมากเท่าเดิมแล้ว”

เมื่อถูกเลิกจ้าง เขาได้รับเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างจากประกันสังคมเป็นเงิน 7,500 บาทต่อเดือน เป็นเวลาหกเดือน ในตอนนั้นเขาห่วงแต่พ่อ คิดว่าจะทำอย่างไร ต้องจ่ายค่ายาพ่อ ไหนจะต้องกินต้องใช้อีก ในห้วงเวลานั้น งานใหม่หายาก แม้เขาจะมีความสามารถและไม่เลือกงาน

เขาไม่อยากหยุดว่างเฉยๆ ให้เครียด วันที่ไม่ออกไปหางาน เขาใช้รถเข็นคันเก่าของพ่อไปรับจ้างเข็นของในตลาด มันทำให้เขารักพ่อเขามากขึ้นไปอีก เพราะกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท เหนื่อยยากไม่น้อยเลย พ่อของเขาต้องใช้ชีวิตแบบนี้มา 20 กว่าปี เลี้ยงลูกสองคน และยังส่งเสียเงินไปให้ย่าที่ต่างจังหวัดจนย่าจากไปอย่างไม่เคยบ่น

วันหนึ่ง เจ้าของแผงรายที่เคยใช้บริการพ่อของเขาเป็นประจำ สมัยที่พ่อยังแข็งแรงและทำงานรับจ้างเข็นสินค้าในตลาดเรียกใช้เขา หลังจากจ่ายเงินค่าเข็นรถ ก็ถามถึงอาการพ่อ และฝากฟักทองที่วันนี้มีอยู่มากมายให้เอาไปต้มให้พ่อกินบำรุงร่างกาย

เมื่อทำน้ำฟักทองปั่นให้พ่อกิน เขาก็เกิดความคิดที่จะทำน้ำฟักทองขาย แค่ซื้อฟักทองมาล้าง ปอกเปลือก ต้มให้สุก จากนั้นหันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้า กับน้ำสะอาด อุ่นให้ร้อนตอนขาย เขาเลือกทำเลที่ป้ายรถเมล์ใกล้โรงเรียนแห่งหนึ่ง ศรัทธาภูมิใจกับงาน มันช่วยบำรุงร่างกายให้คนกินแข็งแรง และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรตลอดจนพ่อค้าคนกลาง และด้วยรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากอดอยากในอดีต เขาขายน้ำฟักทองเพียงถุงละ 5 บาท จากน้ำฟักทองก็ขยายไปต้มข้าวโพดขายด้วย ซึ่งทำให้เขามีกำไร 7-800 บาทต่อวัน กำไรเดือนหนึ่งๆรวมกันมากกว่ารายได้ที่เคยได้รับจากโรงงานเสียอีก และเมื่อเห็นว่าขายได้เงินพอควรแล้ว เขาก็จะอนุเคราะห์ผู้ยากไร้ โดยนำน้ำฟักทองที่ตัดสินใจไม่ขายเอาเงินแล้ว นำไปแจกจ่ายให้คนจรจัดไร้บ้านอยู่เป็นประจำ

ธุรกิจเพื่อสุขภาพนี้ทำให้เขามีรายได้ คนกินแข็งแรง และได้แบ่งปันเป็นทาน เขารักธุรกิจนี้เสียแล้ว

ตั้งแต่กินข้าวแกงที่ป้าใจดีหยิบยื่นให้จานนั้น ศรัทธาพยายามช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่ได้หวังสวรรค์วิมาน เขาแค่คิดว่าเขาพยายามทำความดีเท่าที่จะทำได้ทุกๆ วัน จะไปกลัวอะไร ว่าตายแล้วจะไปไหน หรือผลของความดีจะช่วยเขาหรือไม่ เขามีความสุขแล้วจากการทำดี

......................................

น้ำฟักทองกำลังถูกหยิบยื่นให้ คนแก่ไร้บ้านคนหนึ่ง และศรัทธากำลังให้ความรู้ประกอบ

“ยาย ยายเอาน้ำฟักทองไปกินสิยาย มันบำรุงสายตาและร่างกาย พืชผักไทยเรามีประโยชน์มากนะยาย บำรุงร่างกายให้แข็งแรง จะได้ไม่ต้องป่วยไปหาหมอ เสียค่ายาแพงๆ”

ขณะที่แจกน้ำฟักทอง ใจก็ครุ่นคิดถึงอาการของพ่อที่มีแต่ทรงกับทรุด ค่ายาที่ไม่สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้ก็แพงขึ้นอีก แม้จะรักษากับโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะยาชุดเดิมมีผลข้างเคียงทำให้ต้องเปลี่ยนยาไปใช้ตัวที่แพงขึ้น เขาคงต้องหารายได้เพิ่มอีกทาง จากธุรกิจเครือข่าย ตามที่แฟนเก่าของเขาชักชวน โฆษณาว่าดีนักดีหนา ทำงานง่าย สบายๆ เขายอมเสียยอดขายน้ำฟักทองไปหนึ่งวัน เพื่อไปฟัง ไปแสวงหาความร่ำรวยที่อาจกำลังรอเขาอยู่ เขาเชื่อว่าใครบางคนที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเขา รอเขาอยู่ในงานนั้น

ศรัทธาพ่อค้าขายฟักทองกำลังนั่งฟังแผนธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพใหม่ล่าสุดในห้องประชุมของโรงแรมไม่หรูแห่งหนึ่ง ตามที่อดีตแฟนสาวชักชวน ณ ที่นั้นคนที่แต่งกายภูมิฐานหลายคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพูดบนเวที ทุกคนล้วนโฆษณาว่า ตนเองประสบความสำเร็จจากธุรกิจเครือข่ายอันดีเลิศสุดยอดนี้ จนมีรายได้เดือนหนึ่งเป็นแสนๆบาท แต่ไม่ค่อยเน้นเลยว่า สินค้าคืออะไร ดีอย่างไร

ความรู้สึกในใจที่อธิบายไม่ถูกบอกศรัทธาว่า เขาต้องมางานนี้ เขาจะได้พบใครคนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยชีวิตเขา เพื่อชี้ทางออกให้เขาให้พ้นจากความทุกข์ยาก ศรัทธาสะดุดตา เมื่อเห็นผู้หญิงพูดคล่องคนหนึ่งบนเวที เขารู้จักเธอมาก่อน เธอเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจนี้ขึ้นมาเอง

เธอเล่าว่า ตนเองเคยทำงานเป็นพนักงานขายของบริษัทยาแห่งหนึ่ง ที่นำเข้ายาจากต่างประเทศมาขายให้โรงพยาบาลหลายแห่ง เธอมีเงินเดือนสูง แถมได้เดินทางดูงานในต่างประเทศเป็นระยะๆ เธอยังไม่ลังเลที่จะตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจเครือข่ายเต็มเวลา เพราะพบว่ามันจะทำให้ตนเองรวยขึ้นๆ อย่างง่ายๆ เร็วกว่าเป็นพนักงานขายยาหลายสิบหลายร้อยเท่า

ศรัทธาจำเธอได้ดีและรู้ว่าเธอกำลังโกหก ผู้หญิงคนนี้เป็นอดีตพนักงานบริษัทยาจริง แต่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่พ่อไปรักษาคนหนึ่งซึ่งเป็นคนรู้จักกันเล่าว่า เธอถูกไล่ออก เพราะใช้วุฒิการศึกษาปลอมสมัครงาน และโกงเงินบริษัทยาที่เธอทำงานอยู่ ด้วยการปลอมแปลงเอกสารขายยาให้แพงกว่าที่บริษัทกำหนด เอาส่วนต่างเข้ากระเป๋าตัวเอง ยักยอกเอายาและตัวอย่างยาที่บริษัทให้ทดลองใช้ฟรี ไปขายในตลาดมืดอีกด้วย ทำให้โรงพยาบาลต้องซื้อยาแพงและกำลังถูกดำเนินคดี

ในห้องสัมมนา ในขณะที่หญิงคนนั้นพูดไม่หยุดปากเรื่องความรวย คำว่า "รวย"กระทบใจของศรัทธาให้เจ็บแปลบในใจ ศรัทธาคิดสงสัยขึ้นมาแวบนึง "ทำไมเธอ คิดแต่เรื่อง รวยจนดูเหมือนเป็นเรื่องหลัก ทำไมเธอไม่คิดถึงบุญกุศลที่อาจทำได้จากการขายยาดีๆ ให้คนหายป่ายพ้นทุกข์คลายหายเจ็บไข้ หรือแสดงว่าธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพในปัจจุบันของเธอจะทำให้สังคมดีมีความสุขได้อย่างไร พูดแต่เรื่องโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาลเพียงอย่างเดียว???." ศรัทธาเองก็อยากรู้ว่า "ค่ายาพ่อที่แพง เป็นเพราะเธอทุจริตขายยาราคาแพงกว่าที่ควรด้วยหรือเปล่า???"

น้ำตาแทบจะไหลออกมาจากจิตใจที่เจ็บปวดของคนชั้นกรรมาชีพที่ทุกข์ยาก ที่ต้องจ่ายค่ายาในราคาแพงจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว

ในการฟังแผนธุรกิจนี้เน้นแต่คำว่า รวยๆๆ เท่านั้น ยิ่งทำยิ่งรวย ยิ่งหาสมาชิกเพิ่มได้มากยิ่งรวยไม่รู้จบ หลายคนในห้องที่เพิ่งมาฟังเริ่มตื่นเต้น

บรรยากาศในห้องนี้อบอวลไปด้วยความอยากรวย การอยากเอาจากคนอื่น

พอถึงช่วงสมัครสมาชิกที่ต้องเสียเงินค่าสมัคร 5,000 บาท ก็ปรากฏว่าจริงๆ แล้ว คนเข้าฟังมากกว่า 150 คนนั้น มีคนใหม่ที่ยังไม่เป็นสมาชิกเพียง 50 คน คนมาใหม่ ถูกแยกวงไปโน้มน้าวแบบ 2 ต่อ 1 ราคาค่าสมาชิก 5,000 บาท ถ้ายังไม่มีสามารถผ่อนชำระ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน สรุปคือต้องรีบสมัคร สมัครช้าไปวันเดียว ความรวยจะลดลง สมัครแล้วจะได้ใบรับสินค้าที่จะส่งมาจากต่างประเทศ

บรรยากาศอึดอัด และศรัทธาก็ไม่อยากสมัครสมาชิก เพราะคิดว่าน้ำฟักทองที่เขาขาย มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารไม่น่าจะแพ้อาหารเสริมราคาแพงอะไรนั่นแต่อย่างใด แถมยังช่วยเกษตรกรไทย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศไทย แต่ศรัทธาก็ยังถูกโน้มน้าวอย่างต่อเนื่อง

ชายคนหนึ่งที่ร่วมฟังแผนธุรกิจยืนขึ้นบอกว่า "โทรตามเพื่อนๆแล้วเขาสนใจมาก เดินทางมารออยู่ข้างนอกอยากเข้ามาร่วมด้วยเลยในตอนนี้จะได้ไหม" เมื่อผู้ดำเนินรายการบนเวทีอนุญาต ตำรวจหลายนายก็กรูเข้ามาจนเกิดความชุลมุน ตำรวจมาจับคดีแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชน ตำรวจล้อมไว้หมดทุกด้าน เพราะดูสถานการณ์อยู่นานแล้ว

ศรัทธาจึงรอดพ้นจากความอึดอัด และถูกกันตัวเป็นพยาน สุดท้ายอดีตพนักงานขายยาพร้อมแกนนำหลายคน รวมทั้งอดีตแฟนเก่าของศรัทธาถูกจับตัวดำเนินคดีข้อหาหลอกลวงประชาชน มองหน้าแฟนเก่าแล้วปวดร้าว เขารักหวังดีกับเธอสารพัด แต่เธอกลับมาหลอกเขาได้ลงคอ

และแล้ว ความรู้สึกว่าจะเจอใครคนหนึ่งที่น่าสนใจก็เป็นจริง

ระหว่างที่นั่งรอให้ตำรวจสอบปากคำ ศรัทธาได้รู้จักกับลุงปสาทะ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่มาฟังแผนธุรกิจด้วยเหมือนกัน ลุงปสาทะมีประวัติไม่สวยงามนัก เพราะเคยถูกจำคุกด้วยข้อหาปรุงยาแผนโบราณผสมสารเคมีอันตราย ตอนที่มีโรคระบาดในหมู่บ้าน ลุงเล่าว่าลุงนั้นรู้ว่าเป็นฝีมือสำนักทรงจอมปลอมที่เปิดรักษาโรคในราคาแพงรายหนึ่ง ซึ่งเสียผลประโยชน์จากยาสมุนไพรราคาถูกของลุงที่ใช้ได้ผลดี ทำให้คนขึ้นตำหนักทรงน้อยลง เขาจึงแอบให้คนเอาสารเคมีอันตรายใส่ในยาของลุง แล้วนำไปส่งตรวจ ลุงเลยได้ไปใช้และสอนวิชาจับเส้นบีบนวด การใช้สมุนไพร ปลูกสมุนไพรในคุกเสียหนึ่งปี เพราะลุงไม่อยากสู้คดี ลุงบอกว่าคิดว่าใช้กรรมเก่า และยังได้ช่วยเหลือคนในคุกซึ่งปฏิบัติต่อลุงอย่างดี

ศรัทธาคิดว่าตัวเองตั้งใจทำดีไปขัดขวางผลประโยชน์คนอื่น ถึงกับต้องตกงาน แต่ของลุงร้ายแรงกว่านั้น ถึงขั้นติดคุกติดตาราง

เมื่อทราบจากศรัทธาว่า พ่อป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง และทรมานจากผลข้างเคียงของยา ลุงปสาทะก็บอกว่า สมุนไพรในการแพทย์แผนไทยที่มีความเก่าแก่ยาวนาน อาจช่วยบรรเทาหรืออาจจะถึงขั้นรักษาโรคร้ายของพ่อของศรัทธาได้ แม้จะรู้สึกศรัทธาในตัวลุง แต่ก็กลัวที่จะลอง กลัวจะถูกหลอก เพราะอย่างที่รู้ๆ กัน คนที่คอยหาผลประโยชน์จากคนป่วยไข้จำนวนหนึ่ง หากำไรจากคนป่วยไข้ โดยใช้คำว่าแพทย์แผนไทย เช่นพวกยาผสมสารสเตียรอยด์ ทำให้แพทย์แผนไทยดีๆ มีจรรยาบรรณเสื่อมเสียไปด้วย

เขาจึงไปปรึกษากับแพทย์แผนปัจจุบันที่ดูแลอยู่ว่า อยากจะลองรักษากับแพทย์ทางเลือกดูบ้าง เพราะสงสารพ่อที่กินยามื้อละกำ และต้องทนทรมานกับผลข้างเคียงของยาบางตัวซึ่งพ่ออาจจะแพ้ หมอคงจะสงสารศรัทธาที่ขายน้ำฟักทองเอาเงินมารักษาพ่อ จึงแนะนำเภสัชกรที่ศึกษาทางด้านสมุนไพรไทยอย่างลึกซึ้ง คอยให้คำแนะนำ คุณเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แนะนำว่าต้องรู้ส่วนประกอบในตำหรับยา ไม่ใช่บดผสมกันจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร

ลุงปสาทะตรวจดูอาการของพ่อศรัทธาแล้วแสดงความบริสุทธิ์ใจ เขียนรายการยาลงในกระดาษ เป็นชื่อสมุนไพร แยกเป็นรายการๆ ระบุน้ำหนักชัดเจน ประมาณสิบอย่าง บอกให้ศรัทธาลองไปตรวจสอบว่ามีโทษหรือไม่ แล้วอยากไปซื้อจากร้านไหนก็ซื้อได้เพื่อความสบายใจ เพราะลุงปสาทะจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดทั้งสิ้น

หลังจากตรวจสอบกับคุณเภสัชกรที่เชียวชาญทางเภสัชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง จนแน่ใจว่ายาแผนโบราณสูตรนั้นจะไม่มีโทษใดๆ ที่ร้ายแรง และมีสรรพคุณทางบำรุงฟื้นฟูร่างกาย จึงกล้าให้พ่อกินยาสูตรนั้น

ยาไทยอาจถูกโรคกับอาการของพ่อ ศรัทธาเห็นผลว่า อาการพ่อของเขาดีขึ้น กลับมากินข้าวอร่อยปาก และ ระบบขับถ่ายดีขึ้น ดูแข็งแรงขึ้น ไม่ล้มหมอนนอนซม หมอปสาทะบอกว่าสมุนไพรไทยช่วยรักษาสมดุลฟื้นฟูร่างกาย แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องแน่ใจก่อนว่า เป็นยาสมุนไพรจากแหล่งที่เชื่อถือได้ จากคนที่มีความรู้จริงและเชื่อถือได้เท่านั้น

หลายเดือนที่รู้จักลุงปสาทะ ลุงเป็นหมอยาที่ไม่เน้นแสวงหาความร่ำรวยแม้แต่น้อย ลุงปสาทะเป็นคนอาศัยวัดอยู่ ช่วยหลวงตาพระหมอยารูปหนึ่งที่มีใจเมตตารักษาคนป่วย ที่ไม่ค่อยมีเงินจะไปหาหมอแผนปัจจุบัน แกช่วยหลวงตาในการขึ้นทะเบียนตำหรับยาให้ถูกต้อง เพื่อการคงอยู่และพัฒนาของศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ศรัทธาจัดสรรเวลาว่างมาเรียนวิชาสมุนไพร โดยใช้ความรู้ด้านช่างช่วยงานในวัดตามแต่โอกาส เช่นซ่อมระหัดวิดน้ำแบบกงล้อที่ใช้ตักน้ำจากคลองหลังวัดที่มีน้ำไหลเอื่อยเข้าวัด ซึ่ง ทำงานไม่สมบูรณ์มานาน ซึ่งงานนี้ทำให้เขาสนใจในภูมิปัญญาไทยเพิ่มขึ้นอีก

ณ ทุ่งสมุนไพรใกล้วัดที่เจ้าของที่ดินเต็มใจให้ลุงปสาทะยืมทำประโยชน์ได้ตามใจชอบ ศรัทธากำลังใช้วันว่างช่วยงานลุงและเรียนรู้สมุนไพรไปด้วยพร้อมกัน วันนี้เขาและลุงจะเตรียมปุ๋ยหมักจากผักตบชวาและมูลสัตว์เพื่อใช้ในแปลงสมุนไพร

ชุมเห็ดเทศบางต้นกำลังออกดอกสีเหลืองสวยสะพรั่ง ลุงเคยสอนว่า ชุมเห็ดเทศเป็นสมุนไพรกินแก้ท้องผูก และใช้คั้นน้ำผสมปูนแดงที่กินกับหมากทารักษากลากเกลื้อน ถามลุงตอนหนึ่งว่า "ทำไมลุงไม่ปรุงยาขายเองครับ"

ลุงปสาทะตอบว่า "คนป่วยจะไปเอาเงินกับเขาทำไมมากมาย แค่เขาป่วยเขาก็มีทุกข์มากแล้ว ลุงอยากช่วยคนไม่ใช่อยากรวย" ศรัทธาปลื้มใจมากกับคำตอบที่ได้ ศรัทธาสนใจศึกษาวิชาการใช้สมุนไพรหลายอย่างอย่างใส่ใจ เพราะเขาเป็นคนที่ลุงปสาทะสังเกตเห็นได้ว่า เป็นคนที่อยากช่วยเหลือคนอื่นให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องทรมานด้วยความป่วยไข้ ศรัทธาวางแผนที่จะสอบใบอนุญาตแพทย์แผนโบราณในอนาคต

ลุงปสาทะคิดในขณะที่แกกำลังทำงานจัดการกองปุ๋ยว่า แกตัดสินใจไม่ผิด ที่เฝ้าสะกดรอยติดตามศรัทธา ลุงปสาทะได้ยินคำพูดที่ศรัทธาพูดขณะแจกฟักทองให้ยายแก่ยากจนคนหนึ่ง และทำให้ลุงติดตามเขาไป จนได้ไปนั่งฟังการบรรยายแผนธุรกิจของแชร์ลูกโซ่อย่างตกบันไดพลอยกระโจน และได้รู้จักกับศรัทธาในที่สุด คำพูดของศรัทธาในวันนั้นคือ

"ยาย ยายเอาน้ำฟักทองไปกินสิยาย มันบำรุงสายตาและร่างกาย พืชผักไทยเรามีประโยชน์มากนะยาย บำรุงร่างกายให้แข็งแรงจะได้ไม่ต้องป่วยไปหาหมอ เสียค่ายาแพงๆ"
.........................................................

เกือบบ่ายโมง ศรัทธากับลุงนั่งหยุดพักเหนื่อยจากการเตรียมปุ๋ยบำรุงแปลงสมุนไพร อากาศวันนั้นร้อนมาก แต่ศรัทธาก็ยังมีความสุขจากใจที่ชุ่มเย็นใต้แดดร้อน มองดูแปลงสมุนไพรที่กำลังชูใบไสวรับแดดอันร้อนแรง เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการเติบโต ร่วมกับแร่ธาตุอาหารอันอุดมในดิน ความชุ่มชื้นของน้ำ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสสารอันทรงคุณค่า เพื่อรอให้คนที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเก็บเกี่ยวไปใช้ รักษาบรรเทาทุกข์จากโรคภัย ศรัทธาคิดว่าลุงก็คงคิดไม่ต่างกัน

ถามลุงว่า "ลุงครับ ลุงคิดว่าโรคอะไรน่ากลัวที่สุดครับ" มันคงเป็นคำถามสำคัญ ลุงเอาผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ นิ่งไปเพื่อเรียบเรียงคำตอบ
"โรคทางใจทำคนตายมามากกว่าโรคร้ายอื่นอีก ความโลภ อยากรวย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน หมอยาดีๆ ช่วยคนป่วย ก็ถูกคนโลภที่เสียผลประโยชน์ปิดทาง กีดกันกลั่นแกล้ง คนมีวิชาก็หวง กลัวคนอื่นจะรวย จนตำราดีๆสูญหาย ไม่ได้ใช้รักษาคน คนไม่รู้จริงแต่โลภ ขายยาไม่ได้เรื่องในราคาแพง ทำบาป หลอกคนที่ทุกข์ให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก

ดูอย่างคนขายยาสิ ไม่นึกถึงว่าตัวเองกำลังทำงานสร้างบุญ คิดแต่อยากรวย ทำแชร์ลูกโซ่ ยาของไทยเราดีๆ ทั้งนั้น ไม่ช่วยกันสนับสนุน ขนาดฝรั่งยังเอาไปวิจัยจดสิทธิบัตร แต่เรามองข้ามไปหมด คนป่วยเลยต้องจ่ายค่ายาแพงๆ ให้ต่างประเทศ จนบางคนหมดบ้านหมดที่หมดตัว

ระวังโรคทางใจนะศรัทธา โรคทางกายอย่างมากก็ตาย แต่โรคทางใจสร้างความเดือดร้อนมหาศาลข้ามภพชาติ และโรคทางใจบางคนก็ไม่รู้ว่ามันทำร้ายเราอยู่ ไอ้พวกที่หาความร่ำรวยตามที่ลุงเล่ามา บางคนก็ไม่รู้เลยว่าได้สร้างกรรมชั่วที่จะส่งผลไปในอนาคต ที่สุดท้ายตัวเองก็ต้องไปรับผลของกรรมนั้น ตามกฏแห่งกรรมวิบาก"

คงเป็นเพราะแรงดึงดูดทางจิตวิญญาณของคนทั้งสองที่ต่างปรารถนาให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์จากโรคภัย ที่นำคนสองคนที่ต่างวัยนี้ให้มาอยู่ในทุ่งสมุนไพรนี้ และร่วมกันทำประโยชน์เพื่อคนอื่นต่อไป

ที่มา
http://www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=569&Itemid=67
http://www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=562%3A2011-11-09-15-53-39&catid=39%3Afiction&Itemid=27

Thursday, November 17, 2011

กรรมลิขิต ตอน สำนึกอันธพาล

กรรมลิขิต ตอน สำนึกอันธพาล

กรรมลิขิต ตอน เขยบาป

กรรมลิขิต ตอน เขยบาป

กรรมลิขิต ตอน เขยบาป 2

กรรมลิขิต ตอน เขยบาป 2

กรรมลิขิต ตอน เสือผู้หญิง 2

กรรมลิขิต ตอน เสือผู้หญิง 2





กรรมลิขิต ตอน บัญชีบาป

กรรมลิขิต ตอน บัญชีบาป





กรรมลิขิต ตอน กับดักกรรม

กรรมลิขิต ตอน กับดักกรรม





กรรมลิขิต ตอน กรรมผ่อนส่ง

กรรมลิขิต ตอน กรรมผ่อนส่ง





กรรมลิขิต ตอน บทเรียนจากแม่

กรรมลิขิต ตอน บทเรียนจากแม่





กรรมลิขิต ตอน ย้อนรอยกรรม

กรรมลิขิต ตอน ย้อนรอยกรรม





กรรมลิขิต ตอน บทเรียนกรรม

กรรมลิขิต ตอน บทเรียนกรรม





กรรมลิขิต ตอน รักในรอยบาป

กรรมลิขิต ตอน รักในรอยบาป





กรรมลิขิต ตอน ไฟแค้น

กรรมลิขิต ตอน ไฟแค้น





กรรมลิขิต ตอน เข็มส่งกรรม

กรรมลิขิต ตอน เข็มส่งกรรม





กรรมลิขิต ตอน เพลิงกรรม

กรรมลิขิต ตอน เพลิงกรรม





กรรมลิขิต ตอน มรดกที่ถูกสาป

กรรมลิขิต ตอน มรดกที่ถูกสาป





กรรมลิขิต ตอน นางบาป

กรรมลิขิต ตอน นางบาป





กรรมลิขิต ตอน ติดยา

กรรมลิขิต ตอน ติดยา





ลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลของกรรมชั่ว

ลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลของกรรมชั่ว

พระพุทธเจ้าตรัสถึงกรรมหนัก ซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ไปเกิดในอบายไว้ โดยทรงลำดับความรุนแรงแห่งการให้ผลไว้ดังนี้ คือ

๑.นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม เป็นกรรมที่รุนแรงที่สุด และให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ทั้งหมด

๒.อนันตริยกรรม ๕ ประการ โดยความรุนแรง รองจาก นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม

โดยทรงตรัสว่า ในอนันตริยกรรม ๕ อย่างนี้ เริ่มต้นแต่
- สังฆเภทกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่หนักที่สุด ,
- รองมาคือ ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ,
- รองมาคือ ฆ่าพระอรหันต์,
- รองมาคือ ฆ่ามารดา
- และสุดท้ายคือ ฆ่าบิดา

๓.อัตตวินิบาตกรรม ได้แก่ การฆ่าตัวตาย ซึ่งมีผลรุนแรงมาก รองจาก อนันตริยกรรม กรรมชั่วหรือกรรมไม่ดีหรืออกุศลกรรม หรือการกระทำที่เป็นอกุศลที่จะทำให้ได้รับผลกรรมนั้น (ที่เรียกว่า เสวยผลของกรรม) ทันทีตาย โดยไม่มีกรรมอื่นๆ มาแทรกได้เลย เรียกว่า มิจฉัตตนิยตธรรม

มิจฉัตตนิยตธรรม คือสิ่งที่เป็นสิ่งไม่ดี การกระทำหรือความคิดที่ไม่ดี เป็นความชั่ว และจะทำให้ผู้กระทำได้รับผลหรือต้องเสวยผลของกรรมนั้นทันที ที่ตายลง (คือ ไปอบาย) โดยไม่มีกรรมไม่ว่าชั่วหรือดีแค่ไหนก็ตาม อย่างอื่น มาคั่นกลางหรือแทรกระหว่างได้เลย
มิจฉัตตนิยตธรรม มี ๒ อย่างคือ

(๑) นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม
- นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม มี ๓ อย่างคือ

(ก) นัตถิกทิฏฐิ คือ การมีความเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายที่จะได้รับความดีความชั่ว ที่จะได้มีความสุขหรือความทุกข์ ฯลฯในภพข้างหน้านั้น ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องไปจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาป ของตนเองที่ตนทำไว้ในชีวิตปัจจุบัน

(ข) อเหตุกทิฏฐิ คือ การมีความเห็นว่าความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ฯลฯ ที่สัตว์ทั้งหลายได้รับอยู่ในชีวิตปัจจุบันนี้ ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่อง มาจากการกระทำอันเป็นบุญหรือเป็นบาปของตนเอง ในภพก่อน

(ค) อกริยทิฏฐิ คือ มีความเห็นว่าการกระทำของสัตว์ทั้งหลาย ถึงแม้ว่าจะทำดีก็ไม่ชื่อว่าเป็นบุญ ถึงแม้กระทำชั่วก็ไม่ชื่อว่าเป็นบาป แต่เชื่อว่าการกระทำไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็แค่เป็นไปตามธรรมดา ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป

(๒) ปัญจานันตริยกรรม
ปัญจานันตริยกรรม มี ๕ คือ
มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนห้อพระโลหิต
สังฆเภท - ยุให้พระสงฆ์แตกหมู่แตกคณะกัน

อันนี้ ท่านอธิบายว่า อกุศลกรรมทั้ง ๘ ประเภทนี้ (นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ๓ และปัญจานันตริยกรรม ๕) ถ้าหากใครกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในนี้แล้ว เมื่อสิ้นชีวิตก็จะต้องได้รับผลของกรรมนั้นทันที ถึงแม้ว่าก่อนตายจะสร้าง บุญใหญ่บุญดีเลิศขนาดไหน บุญทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่อาจช่วยให้พ้นไปจากการต้องรับผลกรรมชั่วเหล่านี้ทันทีที่ตายลงได้เลย

ถ้าหากใครได้กระทำกรรมไว้ทั้งสองอย่าง คือทั้งปัญจานันตริยกรรมข้อใด ข้อหนึ่งกับนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมข้อใดข้อหนึ่งในชีวิตนั้นแล้ว กรรมจากนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมจะเป็นกรรมที่ส่งให้ได้รับผลทันทีที่ตาย นี่ก็แสดงว่า กรรมจากความเห็นผิดทั้ง ๓ ประการ อันเห็นผิดถาวร เห็นผิด อย่างมั่นคง ปักใจอย่างแน่วแน่ ใน ๓ ประการข้างบนนี้ เป็นกรรมหนักที่สุด หนักยิ่งกว่าปัญจานันตริยกรรม ความเห็นผิด จึงน่ากลัวนัก และนอกจากนี้ เมื่อเห็นผิดแล้ว ก็จะทำให้คิดผิด เชื่อผิด กระทำอะไรต่ออะไรผิดๆ เช่น เมื่อไม่เชื่อบาปบุญก็เลยไม่ทำบุญ ไม่เชื่อบาปก็เลยทำบาปได้ ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรม ก็จะทำได้ทั้งดีและไม่ดี เพราะว่าไม่เชื่อว่าความดีจะส่งผลเป็นสิ่งทีดี เพราะไม่เชื่อว่าความชั่วจะส่งผลเป็นสิ่งที่ชั่ว ชีวิตก็จะมีแต่ตกต่ำดิ่งลึกลงไปในหุบเหวแห่งความเห็นผิด และการกระทำกรรมไม่ดี ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ ไกลออกไปทุกทีจากกรรมดี จากเส้นทางแห่งปัญญา และจากการชำระจนให้มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยปัญญา ไกลออกไปยิ่งๆ จากแสงสว่างทางธรรม ไกลออกไปจากการพ้นทุกข์

ตามที่ได้เล่าไว้ว่าโดยหลักการแล้ว หากบุคคลใดละเมิดกรรมทั้งสองอย่าง คือกระทำทั้งนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม และปัญจานันตริยกรรม ในชีวิตนั้นๆ กรรมที่จะส่งผลก่อนเพราะถือเป็นกรรมหนักกว่า ก็คือกรรมจากนิยตมิจฉาทิฏฐิ สิ่งที่จะมาขอเพิ่มเติมให้ครบถ้วนก็คือ ในกรณีนี้ เมื่อนิยตมิจฉาทิฏฐิกรรมให้ผลไปก่อนแล้ว แต่กรรมที่กระทำอนันตริยกรรม (คือ กระทำ ปัญจานันตริยกรรมข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ) ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้กลายเป็นอโหสิกรรมไป แต่อย่างใด ตรงกันข้าม อนันตริยกรรมที่ได้กระทำไปนั้นๆ จะรอส่งผลต่อๆ ไปเรื่อยๆ ขณะใดก็ตามที่มีโอกาส



ที่มา
http://www.chiangmai-thailand.net/tian_song_jai_agenda/kum.html

สลด "พ่อเฒ่า" ทุกข์ระทมลิ้นห้อย ป่วยโรคประหลาด

สลด "พ่อเฒ่า" ทุกข์ระทมลิ้นห้อย ! ป่วยโรคประหลาด

ลิ้นยาวหดเข้าไปในปากไม่ได้และมีอาการสั่นตลอดเวลา เจ้าตัวเผยเป็นเวรกรรมสมัยหนุ่ม ที่ไปขุดสมบัติเก่า ที่ราชบุรี แต่ถูก วิญญาณขัดขวาง และเมื่อครั้งยังหนุ่มฆ่าหมา ๒ ตัว เพราะไม่ชอบเจ้าของ พอกลับมาบ้าน ร่างกายก็หมดเรี่ยวแรง ทำงาน ไม่ได้ และลิ้นเริ่มห้อยออกจากปากมานานกว่า ๓๐ ปี จนต้องนุ่งขาวห่มขาว เข้าวัดทุกวัน แถมยังออกเดินเรี่ยไรเงินชาวบ้าน ตามตลาดมาทำบุญ และช่วยเด็ก คนตกงาน เพื่อให้หาย จากโรค พิสดาร อยากพบหมอรักษาให้หายหรือทุเลาลง

เมื่อวันที่ ๒๘ ส.ค.ี๔๘ ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ระยอง เดินทางไปยังวัดบ้านฉาง ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง หลังได้รับแจ้ง จากชาวบ้านว่า พบเห็นชายชราป่วยเป็นโรคประหลาด ลิ้นห้อยออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา และยังสั่นด้วย ซึ่งเป็นที่เวทนา แก่ชาวบ้านและผู้ที่เข้ามาทำบุญในวัด เป็นอย่างมาก กับความทุกข์ทรมาน ของชาย คนดังกล่าว

เมื่อเดินทางไปถึง พบพระครูวิมลธรรมภาณี เจ้าอาวาสวัดบ้านฉาง กล่าวถึงผู้เฒ่าที่ป่วยเป็นโรคลิ้นห้อยว่า มีจริงตามที่ ทราบมา ชายคนดังกล่าวชื่อ นายเจิม วรรณชนะ อายุ ๗๒ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๑๕๒/๒ หมู่ ๕ ต. บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง อยู่กับลูกชายในตลาดบ้านฉาง ที่มักจะเข้ามาในวัดเป็นประจำ โดยจะเข้ามา ขออาหาร ไปกินทุกวัน บางครั้งก็นำเงินมา ทำบุญให้วัดเป็นประจำ ซึ่งทางวัด ก็จะให้ชุดขาว ซึ่งเป็นชุดถือศีล กับนายเจิมไปสวมใส่ เพราะนายเจิมจะไม่ใส่เสื้อผ้าสีอื่น จะใส่เฉพาะสีขาวเป็นเวลาร่วม ๓๐ ปีมาแล้ว และ ก็มักจะมาถือศีล เป็นประจำ บอกเพียงว่าต้องการมาไถ่บาป เพื่อให้หาย จากโรคพิสดาร ซึ่งก็ถือเป็น โรคแปลก ที่ไม่เคยพบเห็น จะเป็นเวรกรรมตามความเชื่อของผู้ที่เป็นก็สุดที่จะบอกได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่กำลังนั่งพูดคุยกับเจ้าอาวาสอยู่นั้น นายเจิมเดินเข้ามาในวัดด้วยท่าทางที่อิดโรย โดยอยู่ในชุด ถือศีลสีขาวทั้งชุด พร้อมด้วยไม้เท้า เมื่อเข้ามาใกล้ก็พบว่านายเจิม มีอาการแลบลิ้น ออกมา ตลอดเวลา ยาวจนถึงคาง แถมลิ้น ยังสั่นอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางสายตาของชาวบ้าน ที่มองด้วย ความเวทนา กับอาการ โรคประหลาดของนายเจิม

เมื่อสอบถาม นายเจิมเล่าถึงที่มาของโรคประหลาดด้วยน้ำเสียงที่อู้อี้ เพราะลิ้นที่แลบออกมาตลอดเวลา ครั้งละ ประมาณ ๑ - ๒ นาที แล้วก็หดเข้าไปประมาณ ๒๐ วินาที ก็จะโผล่ออกมาอีกและมีน้ำลายย้อยหยด จึงทำให้การพูดคุย เป็นไปด้วย ความยาก ลำบาก และเห็นอาการเหนื่อยของนายเจิม นายเจิมเปิดเผยว่า ก่อนที่จะเป็น โรคประหลาด ตนมีอาชีพเป็นช่างไม้ รับทำเฟอร์นิเจอร์ เมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมา ได้ฝันว่า มีชายชรา ผมยาว นุ่งขาวห่มขาวมาเข้าฝัน บอกว่าเป็นเจ้าที่ให้ไปขุดเอาสมบัติ ที่ ต.เขาวัง อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็น บ้านเกิด อยู่บริเวณท้องนาใกล้กับบ้านของน้องชายของตน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังจำสถานที่ ดังกล่าว ได้อย่าง แม่นยำ แต่ชายชราที่เข้าฝันบอกให้ไปคนเดียว แต่ด้วยความกลัวตนจึงชวนเพื่อนไปด้วย ๒ คน พอไปถึง ก็ไม่ได้บอกใคร เพราะกลัวจะมีคนตามไปด้วยและนอนพักหนึ่งคืน จนช่วงเช้า ก็ออกไป ตามสถานที่ฝัน บอกมา และก็จุดธูปเทียน เพื่อขออนุญาตในการขุด ซึ่งอยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่

หลังจากที่ขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธ์เป็นที่เรียบร้อยก็ลงมือขุด ประมาณ ๑ ชั่วโมง เป็นหลุมใหญ่ และลึก ประมาณ เกือบ ๒ เมตร ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่พบ ก็คือไหโบราณใบใหญ่ที่มีเพชรพลอยอยู่ภายใน ส่องแสง อร่ามไปทั่ว แต่ยังไม่ทันที่จะเอื้อมมือ ไปหยิบ เสียงฟ้าผ่าลั่นเปรี้ยงลงมา ใกล้กับหลุม ที่ทั้ง ๓ คน กำลังมองดูสมบัติ ด้วยความดีใจ และไม่ถึงอึดใจทั้งลมพายุ และฝุ่น ก็พัดหมุนวนรอบตัว ของพวกตน จนเสื้อผ้าตัวเอง ปลิวว่อน และเหนื่อยอ่อนแทบจะล้มทั้งยืน

นายเจิมกล่าวต่อว่า เมื่อมองไปที่หลุมที่ขุด ยังเห็นเงาของคนที่มีรูปร่างใหญ่ ยืนทะมึน อยู่ตรงหน้า ๒ คน หลังรวบรวมสติได้ ก็ตะโกนออกไป พร้อมทั้งพนมมือบอกว่า ไม่เอาแล้วสมบัติ และก็เห็นไหสมบัติ ลอยหายไป พร้อมกับลมพายุ ส่วนเงาของคน ก็หายไป เหลือเพียงพื้นที่ว่างเปล่า และลมพายุ สงบนิ่ง

จากนั้นจึงกลับไปบ้านญาติด้วยความตกใจ ด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า และเล่าเรื่องให้ญาติฟัง ทุกคน ต่างก็บอกว่า พบวิญญาณ เฝ้าสมบัติอาละวาด ตนจึงเดินทางกลับมาที่บ้าน จ.ระยอง เพียงไม่ถึงเดือน ก็ต้องพบกับ ความผิดปกติ ของร่างกาย จะหมดแรง เดินเหินไม่เหมือนเมื่อก่อน จากร่างกายที่แข็งแรง ก็ทำงานไม่ไหว จนกระทั่ง เกิดอาการสั่นไปทั้งตัว และก็ไม่สามารถบังคับลิ้นได้ เพราะมันจะแลบออกมา ตลอดเวลา ในช่วงแรกภรรยาก็พาไปหาหมอจนทั่วก็ไม่หาย ไม่ว่าจะเป็น แผนปัจจุบัน หรือไสยศาสตร์ จึงเชื่อว่า น่าจะเกิดจากการที่ไป ขุดสมบัติ หรือไม่ก็เป็นกรรมเก่า เพราะในช่วงวัยรุ่น ได้ยิงสุนัขตาย ๒ ตัว เพียงเพราะ ไม่พอใจเจ้าของสุนัข จนมีอาการติดตัวมา จนถึงปัจจุบัน ประมาณ ๓๐ ปีแล้ว ส่วนเพื่อน ที่ไปด้วยกันนั้น ปัจจุบันนี้ เสียชีวิตไปหมดแล้ว

นายเจิมกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเชื่อว่าต้องทำบุญอย่างเดียว ซึ่งตนจะเดินออกไปเรี่ยไรเงิน จากแม่ค้า ในตลาด อยู่เป็นประจำ เพื่อนำเงินไปบริจาคให้วัด และนำเงินช่วยคนจนที่ตกงานบ้าง และเด็กๆ ยากจน เพื่อนำไปซื้อขนมกิน ซึ่งก็ทำ มาตลอด เผื่อว่าอาการจะดีขึ้น และจะทำต่อไปจนกว่าจะตาย เป็นการ ทำบุญ เพื่อสร้างบุญกุศลให้บุตรชาย ที่พักอาศัย อยู่ด้วย มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเคยบวชพระ มาแล้ว เพื่อแก้กรรม ทุกวันนี้ก็ยังหวังว่า จะหายจากโรคประหลาดอยู่ เพราะทรมานมาก และ พูดก็ลำบาก

ด้านนางเฉลียว วรรณชนะ อายุ ๓๕ ปี ลูกสะใภ้นายเจิม กล่าวว่า ตนเห็นอาการของพ่อสามี ซึ่งเป็นมา นานมากแล้ว ตั้งแต่ แต่งงาน ก็ดูแลรักษาอาการโดยให้กินยาชนิดใด ก็ไม่เคยหาย ก็ยังแปลกใจว่า มีอาการ โรคประหลาด ได้อย่างไร ซึ่งแม่สามี ก็เคยเล่าให้ฟังว่า พ่อเคยไปขุดสมบัติที่ราชบุรี ปัจจุบันนี้ แม่สามี ก็เสียชีวิตไป เมื่อปีที่แล้ว ตนก็ดูแลพ่อสามี มาตลอด ซึ่งจะนุ่ง ชุดสีขาวทุกวันไม่เคยใส่ชุดสีอื่นเลย ก็จะเดินทาง ไปที่วัดบ้านฉาง โดยลำพัง ตนก็เตือนว่า ไม่ต้องไป จะหาข้าวปลาอาหาร ให้กินเอง แต่พ่อ ก็ยังไปขออาหารที่วัด และก็ไปทำบุญด้วยทุกวัน วันพระก็จะไปถือศีลนั่งสมาธิ ตนก็อยากจะให้พ่อ หายจากโรค ที่เป็นอยู่ แต่รักษามาหลายวิธีไม่เคยหาย

ด้านนางโสภา อ่อนนอก อายุ ๔๐ ปี แม่ครัวของวัดบ้านฉาง เปิดเผยว่า นายเจิมจะมาที่วัดทุกวัน และ จะนำเงิน มาบริจาควัด เป็นประจำ ทางเจ้าอาวาสจึงให้ตนจัดอาหารให้นายเจิมวันละหนึ่งชุด และมักจะได้ยิน นายเจิมพูดพร่ำ อยู่ตลอดว่า เป็นเวรกรรม ที่ทำมาและภูตผีกลั่นแกล้ง แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เข้าใจ และ มักจะให้ทาน นายเจิมเป็นเงินประจำ ซึ่งทุกคน ก็ทราบดีว่านายเจิมจะมาบริจาคให้วัด และนำไปช่วย เด็กยากจน กับชาวบ้านที่ตกงาน ทุกคนให้ด้วยความเต็มใจ และก็เวทนา กับโรคที่ แกเป็นอยู่ ซึ่งหากมี แพทย์เก่งๆ มาช่วยรักษาก็คงดี จะได้ให้แกหายทรมานบ้าง

ด้าน น.พ.วิรัตน์ วิริยะกิจจา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระยองกล่าวว่า ทางสาธารณสุขจังหวัดระยอง ยินดีที่จะให้ คำปรึกษา และหากยังไม่มีบัตร ๓๐ บาทรักษาทุกโรค ก็ให้ทางเจ้าหน้าที่ทำให้ ส่วนเรื่องหาย หรือไม่นั้น ก็คงต้องให้ แพทย์ที่เกี่ยวกับ เรื่องเส้นประสาทวินิจฉัยดูอีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าพบน้อยมาก
จากหนังสือพิมพ์ ข่าวสด ฉบับวันจันทร์ที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๘

- สารอโศก อันนดับ ๒๘๖ สิงหาคม ๒๕๔๘ -
ที่มา
http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Sanasoke/sa286/140.html

เรื่องเล่า...ผลของกรรม

เอาเรื่องนี้มาจากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต

ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจเรื่อง "กฏแห่งกรรม"ก็ดี หรือในเรื่อง "วิญญาณมีจริงหรือไม่" ก็ดี คงจะสมปรารถนาถ้าได้อ่านเรื่องต่อไปนี้ เพราะผู้เขียนได้รับความเมตตาจากพระเถระรูปหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์ด้วยตัวท่านเอง กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟัง และผู้เขียนขอนำมาถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง

พระเถระผู้เมตตาต่อผู้เขียนท่านนั้นก็คือ พระอาจารย์มหาอำนาจ อินุทสาโร ปัจจุบันอยู่ที่คณะ 23 วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ นี่เอง
พระอาจารย์มหาอำนาจ อินุทสาโร ท่านบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 14 ปี และเมื่อครบปีบวช ท่านก็อุปสมบทนับแต่นั้นตลอดมา ทั้งเคยออกติดตาม พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะ ร่วมธุดงค์กับพระอาจารย์มั่น ตามป่าดงในภาคอีกสานหลายแห่ง กระทั่งปี พ.ศ. 2488 จึงได้เข้ามาศึกษาเปรียญธรรมที่กรุงเทพฯ โดยมาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ จนสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
พระอาจารย์มหาอำนาจ มีประสบการณ์เกี่ยวแก่กฏแห่งกรรมอยู่หลายเรื่อง และเป็นเหตุให้ท่านเชื่อว่าผลแห่งกรรมนั้นมีจริง

เรื่องแรก ที่ท่านกรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟัง ได้แก่เรื่อง โทษของการปลอมพระพุทธรูป ดังนี้

ที่จังหวัดพิษณุโลกในสมัยก่อน มีชายคนหนึ่งชื่อ นายเล็ก เห็นว่า พระพุทธรูปเก่าๆ สมัยเชียงแสน สุโขทัย มีราคาสูง ผู้คนนิยม เช่าไปเคารพกราบไหว้บูขาอยู่เสมอ นายเล็กจึงคิดอยากจะรวยบ้าง และเมื่อคิดอยากจะรวย นายเล็กก็ลงมือกระทำอกุศลกรรมโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง นั่นก็คือเริ่มไปหาซื้อพระพุทธรูปใหม่ๆ ที่มีทรงสมัยเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง หน้าตัก 5 นิ้วบ้าง 7 นิ้วบ้าง มาหลายองค์

ครั้นได้พระพุทธรูปตามต้องการแล้ว นายเล็กก็ใช้น้ำกรดสาดพระพุทธรูปเหล่านั้นเพื่อให้น้ำกรดกัดโลหะ ต่อจากนั้นก็นำพระพุทธรูปไปฝังใต้พื้นดินที่มีชื้นแฉะ และฝังอยู่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ถึงขุดเอาขึ้นมา คนที่เห็นพระพุทธรูปของนายเล็กเชื่อว่าเป็นของเก่าทั้งนั้น ไม่มีใครสงสัยเลย

นายเล้กนำพระพุทธรูปเหล่านี้ออกเร่ขายตั้งแต่พิษณุโลกมาจนถึงสิงห์บุรี-อ่างทอง-ยันกรุงเทพฯ

พระมหาอำนาจเล่าว่า

"นายเล็กขายได้หมด อยู่มาหลายปีนายเล็กก็ป่วยมีอาการปวดแสบปวดร้อน คนเมืองพิษณุโลกที่เป็นแม่ลูกอ่อนนอนกระดานอยู่ไฟไม่ได้ตามๆกัน เพราะตั้งแต่สองยามล่วงแล้วนายเล็กจะร้องโหยหวนเหมือนเสียงเปรต! ตอนกลางวันก็จะดูไม่เท่าไหร่ แต่พอดึกสงัด นายเล็กจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สุดพรรณนา เนื้อตัวของนายเล็กนั้นเน่าหมด! ดึงเล็บ เล็บหลุด! ดังหนัง หนังหลุด! ดึงผม ผมหลุด!

กว่านายเล็กจะตายเป็นเวลาหลายปีนะ ต้องรับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น นี่ก็เพราะผลกรรมเห็นทันตา ไม่ต้องชาติไหน ชาตินี้แหละ คนพิษณุโลกสมัยนั้นถ้าใครเอ่ย "พระตาเล็ก" ล่ะก็คนส่ายหัวเลย.....

ที่ปทุมธานีหลายปีมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อ ตายง มีอาชีพเลี้ยงไก่ชน และจะพาไก่ไปชนกับผู้อื่นเป้นประจำ แพ้บ้างชนะบ้าง
"เวลาแก่ปวยก็เอาหัวแม่มือชนกัน พลางรองอย่างไก่ อาตมาไปดูกับอาจารย์วัดเสด็จฯ ที่เมืองปทุมฯ ไปดูแล้วอาจารย์บอกว่าอย่าไปทรมานแกเลย ปล่อยให้แกอยู่ตามลำพังเถิด ที่น่าเวทนาคือ แกเอาหัวแม่มือชนกันแล้วร้องไปนะ ร้องอย่างไก่ จ๊อก-จ๊อก-จ๊อก! เลือดท่วมมือทั้งสองข้าง เพราะเล็บหัวแม่มือมันทิ่มแทงเอา เวลาจะตายอาตมาไปดู แกเอาหัวแม่มือชนกันเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแรง แล้วร้องอ๊อก! ก็ไปเลย ขาดใจเลย แต่กว่าแกจะตายแกป่วยอยู่นาย ทรมานอยู่นานจึงจะขาดใจ

เสร็จแล้วเขาเอาไปอาบน้ำศพ สวดอยู่เจ็ดวัน พอครบเจ็ดวันก็เอาไปเผา สมัยก่อนเมรุวัดเสด็จฯ เป็นเมรุไม้ พอใส่ไฟก็เห็นลูกไฟหมุนขึ้นไปเบื้องบน เหมือนกับกงจักร หมุนขึ้นไปจนถึงยอดเมรุ ไม้ยอดเมรุก็พังลงมา ไหม้ทั้งเมรุ ไหม้ทั้งศพหมดเลย! ท่านอาจารย์วัดเสด็จฯ ดีใจจะได้สร้างเมรุใหม่ พอมาเผาตายงคนเดียวเท่านั้นก็มีอันเป็นไป อาจารย์ท่านก็ดีใจ จะได้สร้างเมรุใหม่เสียที!"
พระอาจารย์มหาอำนาจบอกว่าเรื่องของตายง นี่เป็นคติที่ทำให้คนเมืองปทุมฯเลิกชนไก่จนบัดนี้
"ไม่กล้าชนไก่กันอีกเลย คนวัดเสด็จฯ ตำบลสวนพริกไท จังหวัดปทุมฯ นี้เอง อยู่ใกล้ๆนี่ แต่มันหลายปีมาแล้วนะ อาตมาจำไม่ได้ว่าปีอะไร"

Saturday, September 10, 2011

ผลกรรมของการทำแท้ง

ผลกรรมของการทำแท้ง....

สวัสดีพี่น้องพลังจิตทุกท่านนะค่ะ วันนี้ได้นำเรื่องเกี่ยวกับการทำแท้งในรูปแบบต่างๆ มาให้อ่าน ว่าทำไปแล้วผลกรรมจะเป็นยังไง จะส่งผลกับชีวิตยังไง

เผื่อคนที่คิดจะทำจะได้เลิกล้มความตั้งใจ ส่วนคนที่เคยทำจะได้ลองเปรียบเทียบดูว่าเรื่องราวที่ดิฉันนำมาฝาก เกิดขึ้นกับตัวคุณบ้างมั้ย แต่ดิฉันคิดว่าจริงเพราะมันเคยเกิดกับตัวดิฉันมาแล้ว และอยกาให้ทุกคนคิดดีๆ ในการคบใครแต่ละครั้ง หากมันพลาดไปจริงๆ ก็อย่าทำเลยค่ะมันบาป และส่งผลต่อสภาวะจิตใจของเราในอนาคตด้วย เอาล่ะค่ะมาฟังเรื่องแรก


เรื่องนี้เป็นเรื่องของดิฉันเองซึ่งเป็นเรื่องจริงๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้

เรื่องเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยตอนที่ดิฉันเรียนอยู่มัธยมปลายตอนนั้นก็ ประมาน ม.5 รู้สึกว่าประมาณเทอม 2 ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนนึง เพื่อนแนะนำให้รู้จัก ก็คบกันได้ซักพักตอนนั้นก็รักกันมาก จนกระทั้งมีอะไรกัน แล้วมาวันนึงเค้าก็เริ่มห่างเหินไป ส่วนเหตุผลเค้าไม่ยอมบอก ดิฉันก็ยอมเลิกไปง่ายๆ นะ เพราะเค้าไม่รักรั้งเค้าไว้ก็ไม่ได้อะไร จนผ่านไปประมาณเดือนนึงก็เริ่มเกิดอาการแปลก คือกินอะไรหวานๆ แล้วจะอ้วก มีการเจ็บเสียดในท้องน้อย เจ็บมาก ก็ไม่ได้สงสัยอะไรเพราะเคยเป็นโรคกะเพาะมาก่อนมันคล้ายๆ กัน จนผ่านไปสองเดือนประจำเดือนไม่มาเริ่มสงสัยเลยไปให้หมอตรวจ ปรากฎว่าท้องจริงๆ ดิฉันจริงปรึกษากับเพื่อนว่าจะทำยังไงดี

เพื่อนก็เลยไปบอกแฟนให้รู้เค้าบอกแล้วแต่เราจะเอาไว้ รึเอาออก ตอนแรกคิดจะเอาออกเลยหายาต่างๆ นานา มากินแต่ก็ไม่ออก เลยบอกแฟนว่าไม่กินล่ะเค้าคงอยากอยู่กับเราจริงๆ จนตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ แต่ว่าท่านไม่ยอม เค้าบอกให้เอาออกถ้าทำยังไงได้ก็ต้องยอมเอาออกหากไม่เอาออกพ่อแม่ก็ต้องอายชาวบ้านชาวช่องเค้า

ตอนน้นยังเด็กก็คิดได้แค่นี้ก็ผ่านมานานเหมือนกัน ประมาน 4 เดือนได้ จำได้เลย วันนั้นเป็นวันเกิดทำวั้นนั้นเลย พี่สาวเป็นคนไปหายามาให้เป็นยาเหน็บ มา 2 เม็ด ก็ลงมือทำโดยพี่สาวเป็นคนสอดยาให้ วันนั้นดิฉันปวดท้องทั้งคืน ทรมานมาก รู้ได้เลยว่าเด็กในท้องก็ทรมาน เพราะดิ้นมาก ตอนเช้าก็ลุกมาเข้าห้องน้ำ เข้าสักพักเด็กไม่ออกหรอกค่ะ มีน้ำคล่ำออกมา เป็นน้ำใสๆ แตกออกมา มีเลือดออกมานิดนึงเป็นก้อนๆ ก็ปวดอย่างนี้อยู่หลายวันเด็กไม่ยอมออก ก็เริ่มมีอาการไข้ จนแม่พาไปหาหมอหมอก็ซาวดูพบว่าเด็กเสียแล้วในท้องดิฉันนี่ล่ะค่ะ เห็นภาพที่ซาวแล้วน้ำตาดิฉันไหลเลยทีนี้เด็ก มีแขนมี ขา ครบแล้ว น่าสงสารมากแต่สายไปแล้ว หมอเลยให้ยาเหน็บอีกเม็ด ก็ปวดอยู่ซักพัก ปวดมากกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆ สุดบรรยาย ก็น่าจะเหมือนกับการคลอดลูกปกติ เพราะปากมดลูกต้องเปิด เมื่อเปิดพอได้แล้ว หมอก็ดึงซากเด็กออกมา เป็นเด็กผู้ชาย มีมือ มีเท้า ครบสมบูรณืหมด ตัวโตอยู่

ตอนนั้นพี่สาวไปดูดิฉันไม่กล้าดูหรอกค่ะ สงสารแต่ก็สายไป แล้วหมอก็จัดการขูดมดลูกให้แบบสดๆ เพราะมีเลือดตกค้างในมดลูก เจ็บมากตอนขูดแต่ดิฉันไม่ร้องซักแอ๊ะ จาร้องได้ไงล้ะค่ะเราผิดจะมาร้องโอดโอยให้หมอด่าอยู่ทำไมยิ่งร้องหมอยิ่งแกล้งสิค่ะ เพราะคนก่อนหน้าดิฉันเข้าไป แกร้องสะเสียงลอดออกมาข้างนอกได้ยินหมด ขูดกันแบบสดๆ ไม่ต้องวางยา

หลังจากนั้นแฟนก็มาเยี่ยมสองสามครั้งแล้วก็หายหน้าไปเลย

ดิฉันร้องไห้ทุกวันบางวันก็ฝันเห็นแก มาบอกว่า แม่ฆ่าหนูทำไม ตื่นขึ้นมาร้องไห้เลย หลังจากนั้นดิฉันก็เรียนจบ สุขภาพก็ไม่ค่อยจะสู้ดีเจ็บออดๆ แอดๆ ตลอด ก่อนหน้านั้นดิฉันเป็นคนแข็งแรงมาก ตากแดดตากฝนแค่ไหนก็ไม่สะทกสะท้าน แต่ตอนนี้เจอฝนหน่อยก็เอาแล้วค่ะ ทรมานมากต้องปวดหลังทุกวัน ได้เงินมาก็ต้องเสียไปอย่างรวดเร็ว เก็บตังก็ไม่เคยอยู่ จากนั้น ปีสองปี แม่ดิฉันก็จากไป ชีวิตก็ไม่มีความสุขเท่าที่ควร ต้องมานึกถึงอดีต ไปรักษาโรคที่เป็นอยู่ไปมาเป็นสิบรอบล่ะกับอาการปวดหลัง แต่ก็ยังไม่หายทำกายภาพบำบัดก็ไม่หาย ก็เลยต้องมานั่งปวดจนถึงวันนี้ มันคงเป็นเพราะสิ่งที่เราทำไว้กับเค้าเเลยส่งผลให้ชีวิตเราเปลี่ยนไป ในทางที่แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

ดิฉันจึงอยากเตือนๆ เพื่อนๆ ชาวพลังจิต ว่าอย่าทำนะค่ะมันไม่ดีจริงๆ ดิฉันยังโชคดีที่มีชีวิตรอดมาได้ เกือบไม่รอดเหมือนกันเพราะเด็กตายในท้องจะทำให้มดลูกเน่า และเป็นไข้จนตายแหล่ะค่ะถ้าไมมาหาหมอ