Tuesday, July 20, 2010

กฏแห่งกรรม :: ป้าเป็งหลังเต่า

กฏแห่งกรรม :: ป้าเป็งหลังเต่า

โดย...ผู้จัดการออนไลน์

ดิฉันได้ร่วมคณะไปเป็นวิทยากรสอน
วิปัสสนากรรมฐาน
“โครงการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาและสันติสุข”
ของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย
ที่วัดพระธาตุทรายทอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน
อันเป็นวัดของพระอาจารย์อมร ปุญญนันโท
ซึ่งเป็นศิษย์เอกและเป็นวิทยากร
ของคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย วิปัสสนาจารย์

พระอาจารย์อมรมีวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่ง
ในการฝึกการปฏิบัติ คุณแม่ดร.สิริ
เห็นแววดี มีเมตตาสูงจึงนิมนต์ให้เป็นวิทยากร
ในคณะด้วย ซึ่งก็ได้รับความศรัทธา
จากบรรดาผู้เข้าปฏิบัติเป็นอย่างดียิ่ง

วัดพระธาตุทรายทอง เดิมชื่อวัดดอยน้อย
อยู่บนพื้นที่ 98 ไร่เศษ
มีสภาพเป็นป่าไม้ รกร้าง ใช้ปลูกต้นไม้
สำหรับโครงการเฉลิมพระเกียรติ
กล่าวกันว่า พระนางจามเทวีทรงสร้างขึ้น
และเคยประทับวัดนี้เมื่อครั้งบวช เป็นชี
เมื่อพระนางสวรรคตวัดนี้ก็กลายเป็นวัดร้าง
ถึง 400 ปีมาแล้ว

นอกจากมีพระธาตุดอยน้อย ประทับอยู่แล้ว
ยังมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น บ่อเงินบ่อทอง
เชื่อกันว่าเป็น รอยพระหัตถ์ของ
องค์พระพุทธเจ้าประทับอยู่บนหน้าผา ดอยน้อย
ซึ่งเชื่อกันอีกว่า มีอยู่แห่งเดียวในประเทศไทย
แต่ขาดการทำนุบำรุงดูแลรักษาจริงจัง
จากทางราชการ อีกไม่ช้าคงจะเสื่อมสลายไป
ตามธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมตามกาลเวลา
จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

นอกจากนั้นยังมีอนุสาวรีย์ม้าโก้ง
ที่มีตำนานน่าศึกษา วัดแห่งนี้มีเรื่องราว
มีตำนานที่น่าสนใจและเล่าขานสืบต่อๆ มา
จนถึงขณะนี้ไม่เพียงแต่เท่านั้น
ยังมีรูปปั้นของพระเกจิ อาจารย์หลายองค์อยู่ด้วย
รวมทั้งพระรูปพระนางจามเทวี

ที่วัดแห่งนี้คุณกาบแก้วและผู้เขียน
ได้ร่วมมือกับชาวบ้านทำการก่อสร้าง
พัฒนาวัดด้วยมือทั้งสองข้างของเรา
ซึ่งต่อมามีการก่อสร้างส่วนต่างๆ
ของวัดเพิ่มเติม มีศิษยานุศิษย์
ของคุณแม่ดร.สิริมากมาย
เช่น เจ้าสุไร ศุกระจันทร์,
พ.อ.คุณหญิงอรชร คงสมพงษ์,
คุณเฉิดสมร รุ้งจรัสแสง,
คุณปรีชา คุณนิด คุณสามารถ
วิวัฒน์ธนสารและครอบครัว ฯลฯ

ได้ร่วมสร้างศาลาปฏิบัติวิปัสสนา
สร้างหอระฆัง และสร้างที่พัก
เพียงระยะเวลา 3 ปีเศษ
วัดที่เดิมเคยมีสภาพเหมือนวัดร้าง
ก็กลายเป็นวัดที่เรียกขานกันว่า วัดรีสอร์ท
เพราะมีบ้าน พัก 69 หลัง
ที่เรียกว่าเป็นวัดรีสอร์ท
เพราะมีทิวทัศน์สวยงาม
อากาศดีบริสุทธิ์ อาหารอร่อย
ชาวบ้านให้การ ต้อนรับเป็นอย่างดี
และวิทยากรเอาใจใส่ดูแลสอนถึง
ตัวเหมือนหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวกัน
ผู้เข้ามาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
โครงการของคุณแม่ดร.สิริ
จึงได้รับความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก

แต่พระพุทธองค์ทรงบอกไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เที่ยง มีเกิด ก็ย่อมมีดับ
มีสังขาร สังขารก็เสื่อม
มีลาภ เสื่อมลาภ
มียศเสื่อมยศ ไม่มีอะไรแน่นอนจีรัง
ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์อมร
จึงได้มรณภาพเมื่อประมาณปีเศษมานี้
เนื่องจากหกล้มในห้องน้ำ

และที่วัดแห่งนี้ นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา
และทุกครั้งที่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ทุกคนจะพบหญิงชรา คนหนึ่งเรียกกันว่า
‘ป้าเป็ง’อายุประมาณ 75 ปี
รูปร่างผอมบาง ตัวเล็กๆ ถือไม้เท้า
เดินตัวงอ ตั้งแต่ช่วงบั้นเอวลงไป
โค้งงอต่ำลงมาแทบจะจรดคอ
ตัวเธอโค้งงอ มากและต่ำลงๆ
ขนานกับลำตัวช่วงล่าง
เวลานั่งตัวก็เอนงอพับลงขนานกับลำตัว
มีสุนัขชื่อเจ้าปุยและเจ้าแพนด้า
เดินตามพันขาพันแข้งด้วยความรักตลอดเวลา
แม้แต่เข้าห้องปฏิบัติก็จะเข้าไปนั่ง
ไปนอน บนเบาะข้างๆ
ไม่ซุกซนหรือทำความรำคาญให้ผู้ปฏิบัติ
เวลาเดินจงกรมก็เดินตาม
เวลานั่งสมาธิก็จะนอนสงบเสงี่ยม
ข้างๆ เจ้าของ

ป้าเป็ง หรือชื่อเต็มๆ คือ
จันทร์เป็ง รามัญกุล จ
ากประวัติส่วนตัวของเธอทราบว่า
เธอเป็นคนที่หมู่บ้านนั้นนั่นเอง
ไม่มีครอบครัวลูกหลานหรือญาติๆดูแล
เธออาศัยอยู่กับผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง
ซึ่งค้าอาหารทะเลในตลาดลำพูน
เธอจึงถูกใช้ทำสัตว์ทะเลต่างๆ ให้ตาย
เพื่อนำไปแช่น้ำแข็งขาย
แกะเปลือกหอยแมลงภู่ หอยแครง
จนกระทั่งนิ้วมือเน่า เล็บหลุด นิ้วกุด

บางครั้งเขาก็ให้จับเต่าเป็นๆ มาต้ม
และแกะเนื้อออกมาปรุงอาหารขาย
ซึ่งเธอบอกว่าไม่อยากทำเลย
และรู้สึกผิดตลอดเวลา
แต่ถูกบังคับให้ทำอย่างจำยอม
เพื่อแลกกับที่อยู่ และอาหาร
เธอเป็นคนเรียบร้อย นิ่งๆไม่ค่อยพูดคุย
และชอบทำบุญ จึงเป็นที่รักของเพื่อน
วัยเดียวกันที่มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

ด้วยสภาพของป้าเป็งที่เป็นอยู่
ทำให้คุณสามารถ เจ้าของบริษัทอาหารส่งออก
ทั่วเอเชียแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีเมตตา
มีจิตใจสูงยิ่ง เกิดความสงสาร เศร้าสลดใจ
จึงต้องการรับมาเลี้ยงดูให้สุขสบายในบั้นปลายชีวิต
แต่ ผู้เลี้ยงดูป้าเป็งคนเดิมเป็นปัญหาสำคัญ
กว่าจะช่วยกันเคลียร์เอาป้าเป็งออกมาได้
ก็หืดขึ้นคอ เวลานี้ป้าเป็งอยู่ในบ้านปฏิบัติธรรม
หลังใหญ่น่าอยู่ภายในวัดนั่นเอง
และคุณสามารถได้จ้างค่าเลี้ยงดูป้าเป็ง
ผ่านทางวัดเดือน ละ 5,000 บาท
เป็นค่าน้ำ - ค่าไฟ - ค่าธรณีสงฆ์ - ค่าทำบุญ
ป้าเป็งเป็นที่รักของทุกคน
และอยู่ภายในวัดได้อย่างสุขสบาย
ในบั้นปลายชีวิต

แม้ว่าป้าเป็งจะได้รับความทุกข์
อันเนื่องจากการต้องฆ่าเต่า
ฆ่าสัตว์ทะเล แต่ก็ทำโดยถูกบังคับ
ซึ่งก็ต้อง ชดใช้กรรมนั้นด้วยการ
มีหลังงอเป็นสัญลักษณ์ของการฆ่าเต่า
และสัตว์ทะเล

แม้ว่าคุณสามารถจะพาไปรักษา
ทำกายภาพบำบัดหลายๆ หน
แต่ก็ไม่หายส่วนอีกด้านหนึ่ง
ซึ่งได้รับความเมตตาได้ที่พัก
ที่กิน อย่างสุขสบาย ในบั้นปลายของชีวิต
ก็เพราะทำบุญ ให้ทานมาก
บำเพ็ญเพียรทำวิปัสสนากรรมฐาน
อย่างสม่ำเสมอ

นี่เป็นกฎแห่งกรรมที่ผู้ทำต้องชดใช้
ตามผลแห่งการกระทำ
ทำความดีย่อมได้รับผลดี
ทำความไม่ดีก็ต้องได้รับผลแห่งความไม่ดีนั้นๆ

....................................................

(**หมายเหตุบรรณาธิการ : เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย
ที่ ‘ป้าแอ๊ด’ ได้ส่งต้นฉบับไว้ให้
ก่อนที่จะจากไปแล้ว
เมื่อ เดือนเมษายน 49 ที่ผ่านมา
ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
อันเป็น สามัญลักษณะของมนุษย์ทุกผู้คน
คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
กองบรรณาธิการขอไว้อาลัย
ในการจากไปของป้าแอ๊ดมา ณ ที่นี้
ขอให้ดวงวิญญาณของท่าน
จงไปสู่สุคติยังสัมปรายภพด้วยเทอญ)


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5576

กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง

กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง
โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข

จากคอลัมน์ “เปิดห้องหมอสูติ”
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๘


เรื่องกรรมนั้นเป็นเรื่องที่บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ
บางคนบอกว่า ทำดีเท่าใดไม่เห็นจะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นมา
บางคนทำชั่ว แต่ได้ดีเอาได้ดีเอาก็มี
แต่ทางการแพทย์นั้น ดิฉันพบว่ากรรมมีจริง
และสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ได้ว่า
กรรม คือ ผลจากการกระทำที่ไม่สมควรนั่นเอง

ขอเล่าเรื่องกรรมออนไลน์จากการทำแท้ง
ซึ่งไม่ต้องรอผลกรรมในชาติหน้าเลย
เพราะมันเกิดให้เห็นในชาตินี้ ในเวลาไม่นานเกินรอ

คุณหมู (นามสมมุติ) เป็นคนไข้รายหนึ่ง
ที่มาหาดิฉันด้วยเรื่องอยากมีประจำเดือน
“หนูไม่มีประจำเดือนมาสองปีแล้วค่ะหมอ” เธอบอก

เมื่อถามรายละเอียด พบว่าอยากมีประจำเดือน
เพราะเธอเข้าใจว่า เพราะไม่มีประจำเดือนทำให้เธอไม่มีลูก
ตอนนี้เธออายุแค่ ๒๒ ปี แม่ของสามีขู่ว่า
ถ้าไม่มีลูก จะหาภรรยาใหม่ให้สามี
เธอจึงวิตกกังวลและปรึกษามาหลายหมอแล้ว

ประวัติของเธอคือ เมื่ออายุ ๒๐ ปี
เธอมีเพศสัมพันธ์กับคู่รัก จนตั้งท้องได้ ๓ เดือน
เมื่อไม่พร้อมเธอจึงไปทำแท้ง
ให้หมอเถื่อนดูดและขูดมดลูกเอาเด็กทารกออก
หลังทำแท้ง เธอสังเกตว่า ประจำเดือนมาน้อยมาก
และต่อจากนั้น ก็ไม่เคยมีประจำเดือนอีกเลย

หลังจากเอาเด็กออก เธอก็แยกทางกับคู่รัก
และมาแต่งงานกับสามี ซึ่งมีฐานะดี และมีอายุมากกว่า ๑๐ ปี
สามีเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ จึงอยากมีลูกหลายๆ คน
ก่อนมาหาดิฉัน เธอได้ตรวจพิเศษเพิ่มเติมหลายอย่าง
ผลการตรวจที่เธอ นำมาให้ดูอย่างหนึ่ง
คือรูปเอกซเรย์การฉีดสีเข้าโพรงมดลูก (Hysterosalpingography)

การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกนั้น เป็นการสืบค้นอย่างหนึ่ง
เพื่อดูว่าปากมดลูก โพรงมดลูก ตลอดจนท่อรังไข่ตีบตัน
หรือมีเนื้องอกอะไรในอวัยวะภายในหรือไม่
ใช้สืบค้นสำหรับผู้มีบุตรยาก

คำว่า มีบุตรยาก คือ แต่งงานกันมานาน ๑ ปี
มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ตั้งครรภ็
โดยทั่วไป เมื่ออยู่กินกันมานาน ๑ ปี
ร้อยละ ๘๐ - ๙๐ ควรจะตั้งครรภ์
ร้อยละ ๑๐ - ๑๕ ที่ไม่ตั้งครรภ์
จึงเรียกว่า เป็นผู้มีบุตรยาก

การฉีดสีเข้าโพรงมดลูกของคุณหมูนั้นพบว่า
ไม่สามารถจะฉีดเข้าไปได้เลย
ทางรังสีแพทย์วินิจฉัยว่า
โพรงมดลูกตีบตัน (Asherman’s Syndrome)
เมื่อไม่มีโพรงมดลูก ก็ย่อมไม่มีประจำเดือน
และไม่มีการตั้งครรภ์

โพรงมดลูกตีบตันนั้น พบได้ร้อยละ ๑๓ ของผู้หญิงที่มีบุตรยาก
สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขูดมดลูก จนมีการทำลายเยื่อบุมดลูก
และ/หรือมีอาการอักเสบติดเชื้อ
ทำให้เกิดพังผืดในโพรงมดลูก
โดยทั่วไปสามารถรักษาได้ โดยใช้กล้อง (Hysteroscope)
ส่องเข้าไปในโพรงมดลูก
จี้สลายพังผืด เพื่อให้โพรงมดลูกกลับมาปกติดังเดิม

แต่สำหรับคุณหมูนั้น โพรงมดลูกตีบตันอย่างรุนแรง
เนื่องจากเยื่อบุมดลูก ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นจากการทำแท้งเถื่อน
แสดงว่าต้องมีการขูดมดลูกที่รุนแรง
และ/หรือมีการอักเสบติดเชื้อตามมา

การไม่มีประจำเดือน และการไม่มีลูก
ล้วนแต่เป็นผลจากการทำแท้ง
และเนื่องจากวิทยาการปัจจุบัน
ยังไม่สามารถสร้างเยื่อบุมดลูกเทียมได้
(ถ้ายังเหลือเยื่อบุมดลูกบ้าง การใช้ฮอร์โมนกระตุ้น ก็อาจได้ผล)
จึงไม่สามารถให้มีลูก และทำให้ประจำเดือนกลับมามีเป็นปกติได้

อยากมีลูก จึงมีวิธีเดียวที่ทำให้สมหวังได้ คือ “อุ้มบุญ”
คือใช้ไข่ของคุณหมูผสมกับอสุจิของสามี
และนำไปฝากครรภ์คนอื่น
ซึ่งวิธีนี้ คุณหมูก็รู้มาจากคุณหมอคนก่อนๆ แล้ว
แต่เธอเล่าว่า แม่สามีบอกว่า
ถ้าจะหาคนอุ้มบุญ หาเมียใหม่ง่ายกว่า

ตอนนี้ แม้คุณหมูจะร้องไห้ จนน้ำตาเป็นสายเลือด
ก็ไม่อาจแก้ปัญหา อยากมีลูกเองได้
นอกจากดิฉันจะอธิบายเหมือนหมอคนอื่นๆ
ดิฉันก็ยังคิดในใจว่า...นี่กรรมจากการทำแท้งเถื่อนโดยแท้

ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องกรรมจากการทำแท้งนั้นพบได้มากมาย
คนไข้คนหนึ่งไปทำแท้งเถื่อนตอนท้องได้ ๒ เดือน
แต่ทารกไม่ออก เจ้าตัวก็ไม่รู้
สงสัยอยู่ว่า ทำไมมีเลือดออกอยู่เรื่อย
มารู้อีกทีตอนท้อง ๖ เดือนแล้ว
พบว่าภายหลังทารกคลอดออกมา เป็นเด็กพิการปัญญาอ่อน
มีนิ้วมือนิ้วเท้าไม่ครบ ทำให้คนเป็นแม่
ทุกข์ทรมานจาการเลี้ยงลูกปัญญาอ่อนพิการจนถึงปัจจุบัน

คนไข้อีกคนหลังทำแท้งเถื่อน มีอาการปวดมดลูกตลอดเวลา
ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์กับสามีได้
เมื่อมาตรวจก็ไม่พบความผิดปกติ
ภายหลังเธอตัดมดลูกทิ้งไป
ทั้งๆ ที่ยังไม่มีลูกสักคน
เพราะเข้าใจว่าอาการปวดเกิดจากตัวมดลูก
แต่ตัดมดลูกไปแล้ว ก็ไม่หายปวดท้อง

คนไข้อีกรายหนึ่งบอกว่า
ตนยากจน เมื่อท้องได้ ๗ เดือน ได้ซื้อยาบีบมดลูก
ที่ลักลอบขายมาเหน็บทำแท้งตนเอง
และมาแท้งลูกที่โรงพยาบาล
เด็กยังอ่อนนักก็เสียชีวิต
ตามธรรมเนียมเมื่อมีทารกตาย
ก็จะแนะนำให้ญาตินำศพเด็กไปทำบุญที่วัด
ทำบุญนี้คือ ให้สัปเหร่อช่วยนิมนต์พระมาสวดและเผาศพ
ใช้ค่าใช้จ่ายเพียงร้อยสองร้อย

แต่รายนี้เมื่อเด็กแท้งออกมา
พ่อของเด็กคงนึกเสียดายค่าทำบุญ
จึงนำศพลูกไปกดทิ้งในโถส้วมที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง
ปรากฏว่าเด็กปั๊มแจ้งตำรวจ
เพราะคิดว่ามีการฆาตรกรรมเด็ก
ตำรวจจึงตามมาสอบสวน
ผลคือ คนไข้รายนี้ต้องเสียเงินหลายพันบาท
เป็นค่าปิดปากเด็กปั๊มและตำรวจ

อ้างว่าทำแท้ง เพราะไม่มีเงินเลี้ยงดูลูก
แต่ในที่สุดก็เสียเงินจำนวนมากกว่า
เพราะการทำแท้งนั่นเอง...
อย่างนี้ไม่เรียกว่ากรรมออนไลน์ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรนะคะ

คนกินดีงู

คนกินดีงู


นายหวัง เหล่าซัน ได้ฟังอาจารย์ท่านหนึ่งสอนว่าใครก็ตามที่กินดีงูเป็นประจำจะทำให้ตาสว่าง ยิ่งได้กินงูที่มีพิษมากยิ่งดี เพราะจะทำให้ตาสว่างมากขึ้น ถ้าหากว่าสามารถกินดีงูติดต่อกัน 300 ตัว พอแก่ตัวลงตาจะสว่างมาก สุขภาพร่างกายแข็งแรง

ฟังเขาเล่าว่าดีงูที่กินลงไปจะทำให้ตาสว่าง เหมือนตาแมงกลางคืน มืดอย่างไรก็มองเห็นชัดเจนเหมือนตอนกลางวัน ฉะนั้น นายหวังจึงพยายามทำความรู้จักกับชาวบ้านชนบท เพื่อที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นจับงูพิษมาให้แล้ว ตัวเองจะได้กินดีงู นายหวังอยู่ทางภาคเหนือ ในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีอาชีพขายดินให้ชาวนา จึงมีโอกาสรู้จักกับชาวนาแถบชนบทมากยิ่งขึ้น เพียงไม่กี่วันก็มีชาวนานำงูพิษมาขายให้นายหวัง

นายหวังยังได้รู้จักกับผู้มีฝีมือในการล้วงดีงู เขาสามารถล้วงเอาดีงูออกมาได้โดยที่งูตัวนั้นไม่ตาย ประวัติของคนล้วงดีดีงูนั้น สมัยก่อนเป็นคนเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ พร้อมกับภรรยาและลูก มีอาชีพจับงูทุกชนิด และเอามาทำยา ถ้าเป็นภาคใต้ทุกคนจะรู้จักชื่อ นายหลี่ปาสู่ ซึ่งมีอาชีพจับงู เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในทางนี้

แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ภรรยาและลูกของนายหลี่ถูกงูกัดตาย ทำให้นายหลี่อับอายขายหน้าชาวบ้าน ไม่กล้าอยู่ทางภาตใต้ต่อไป จึงได้ไปอยู่ภาคเหนือมีอาชีพจับงูและล้วงดีงูให้นายหวังเป็นประจำ เพื่อได้เงินมาประทังชีวิต

นายหลี่มีความชำนาญมาก ขนาดหลับตายังสามารถใช้มีดปลายแหลมแทงให้ตรงจุด แล้วล้วงเอาดีงูออกมาได้ทุกครั้ง นายหวังจะต้องเตรียมเหล้าไว้ครึ่งแก้ว พอได้ดีงูมานายหวังจะใส่ปากแล้วดื่มเหล้ากลืนลงไป งูตัวนั้นจะถูกมัดด้วยเชือก เมื่อดีงูถูกล้วง หางงูก็จะกระดิกดิ้นด้วยความเจ็บปวด โบราณว่างูมีพิษร้าย แต่จิตใจมนุษย์มีพิษร้ายกว่างู เมื่องูตัวนี้ถูกล้วงดีงูแล้ว นายหวังได้กินดีงูลงไป นายหวังจะยกงูตัวนี้ให้กับนายหลี่

นายหลี่เมื่อได้งูมา จึงฆ่างูทิ้งและนำหนังงูไปตากแห้ง สำหรับเนื้องูจะนำไปขายที่ห้องอาหารมีชื่อ ทางร้านอาหารจะนำเนื้องูไปปรุงเป็นอาหารด้วยรสชาติอันโอชา ดังนั้นถึงแม้นายหลี่จะขายเนื้องูให้ห้องอาหารด้วยราคาแพง เจ้าของก็จะซื้อ เพราะปรุงออกมาเป็นอาหารแล้วรสชาติกลมกล่อม หลายๆ คนจึงนิยมกินเนื้องู

นายหวังมาคิดคำนวณดูว่าตนเองเป็นผู้เสียเงินซื้องูมา ได้กินแต่ดีงู ส่วนนายหลี่ได้เอาเนื้องูและหนังงูไปขายด้วยราคาสูง ในความรู้สึกของพ่อค้าอย่างนายหวังรู้ได้ทันทีว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะดูแล้วนายหลี่ล้วงดีงูง่ายนิดเดียว เพียงแต่เอาเชือกใหญ่มัดงูไว้แล้วใช้มีดปลายแหลมแทงลงนับจากลำคอลงไปประมาณ 7 นิ้ว ก็สามารถล้วงเอาดีงูออกมาได้ หนังงูก็มีค่า เนื้องูทุกคนก็ชอบกิน ได้กำไรมากมาย

การขายงูตัวหนึ่งที่ไม่มีดีงูนั้น เงินที่ได้มาก็นำไปซื้องูได้อีกตัว มีทั้งดีงูและหนัง มีดีงูเก็บไว้กินเอง หนังงูเก็บไว้ขายราคาก็ดี เนื้องูขายให้ห้องอาหาร การค้าอย่างนี้ตนน่าจะทำเองเมื่อคิดได้อย่างนั้น นายหวังจึงคิดฆ่างูเอง และตัวเองจะได้กินดีงูฟรีๆ

สมัยนั้นนายหวังอายุได้ 39 ปี เรียกได้ว่าอยู่ในวัยหนุ่มใหญ่มีร่างกายแข็งแรง หลายปีมานี้ได้กินดีงูได้ดื่มเลือดสดๆ ของงู นายหวังจึงมีพละกำลังมาก ใครๆ เชื่อว่าเลือดสดๆ ของงูถ้ากินได้จะชูกำลังดีและสามารถรักษาโรคปวดไขข้อได้ เพราะเหตุนี้ถึงแม้นายหวังจะมีลูกและภรรยาแล้ว แต่ก็ดูเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวย หลายปีมานี้การค้าก็ดีมีกำไรมากมาย จึงทำให้นายหวังมีเงินมากมาย

นายหวังจึงได้มีเมียน้อย 3 คน เมียน้อยเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กสาวและเป็นลูกสาวของคนงานทั้งสิ้น นายหวังจะต้องออกไปทำการค้าประจำ ไปครั้งละหลายๆ วัน จึงได้มีเมียน้อยหลายคน เขาได้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ต่อมาทุกคนรู้ว่านายหวังมีเมียหลายคน รวมทั้งลูกและภรรยาก็รู้เรื่องนี้ด้วย ทางเมียหลวงจึงได้วางระบบครอบครัวใหม่ เมียหลวงจะเป็นผู้คุมการเงิน และให้ลูกสาวดูแลผลประโยชน์และบัญชี

เมื่อเมียควบคุมการเงิน นายหวังจึงมีค่าใช้จ่ายน้อยลง เดือนแรกนายหวังยังไม่เดือดร้อนในเรื่องการเงิน ยังคงไปมาหาสู่เมียน้อยทั้ง 3 คน อย่างมีความสุข แต่เพราะเงินไม่ถึงเมียน้อยคนที่ 1 ก็เลยตีตัวออกห่าง โดยแอบเอาเงินที่นายหวังให้มาปรนเปรอชายหนุ่ม เดี๋ยวนี้นายหวังไม่ค่อยมีเงินให้เมียน้อย เมียน้อยคนที่ 1 จึงได้หนีตามผู้ชายไป

ส่วนเมียน้อยคนที่ 2 ได้เอาเงินที่นายหวังให้ ส่งเสียคนรักเรียนมหาวิทยาลันจนจบ ช่วงนี้นายหวังตกต่ำมาก ฐานะไม่ดีเหมือนแต่ก่อน เมียน้อยคนที่ 2 จึงได้หนีตามคู่รักไปอยู่ที่กรุงเทพฯ

สำหรับเมียน้อยคนที่ 3 ถึงแม้ไม่มีชายหนุ่มมาติดพัน แต่ก็ไม่อยู่กินกับนายหวังอีกต่อไป ทุกครั้งที่นายหวังมาหา จะคอยหลบหน้าเสมอ สุดท้ายพี่น้องของเมียน้อยคนที่ 3 ต้องออกมาพูดกับนายหวังให้รู้เรื่อง โดยบอกให้นายหวังอย่าได้มายุ่งกับน้องสาวอีกต่อไป เพราะน้องสาวกำลังจะเตรียมตัวแต่งงานใหม่ นายหวังรู้สึกผิดหวังและปวดร้าวใจมาก จึงได้ดื่มเหล้าเป็นประจำด้วยความขมขื่นใจ

ในปีนั้นนายหวังอายุได้ 42 ปี มีอยู่วันหนึ่งนายหวังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ จู่ๆ ตาก็พร่ามัวมองไม่ชัดเจน นายหวังจึงรีบเอาน้ำมาลูบตาแล้วก็หยอดตา หลังจากนั้นจึงได้เอาหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างอยู่ปิดหน้าแล้วหลับไป หลังจากตื่นขึ้นมานายหวังก็ร้องเอะอะโวยวาย เสียงร้องของนายหวังทำให้ภรรยาและลูกต้องรีบเข้ามาดูก็ได้เห็น นายหวังมีอาการตะเกียกตะกาย สองตาเบิกโพลงเหมือนเห็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่ตรงหน้า ปากก็พูดว่า

“ตอนนี้ฉันมองอะไรไม่เห็น มีแต่ความมืดมิด”

ให้ลูกสาวช่วยพยุงออกไปข้างนอก จ้างรถไปส่งที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลหมอก็ทำการตรวจ ผลปรากฏว่าเส้นประสาทตาขาด ถึงจะมีลูกตาดำทั้งสองข้าง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรอีก

เมื่ออดีตนายหวังดื่มเลือดงูเป็นประจำ และมีภรรยาถึง 3 คน แต่ว่าบัดนี้ชีวิตของนายหวังล้มเหลว ชีวิตของเขายังจะต้องได้รับความทุกข์ทรมานอีก นายหวังคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง คิดว่าถึงมีชีวิตอยู่จะต้องทุกข์ทรมาน เพราะมองไม่เห็น สู้ตายไปเสียจะดีกว่า แต่ทุกครั้งที่นายหวังคิดจะฆ่าตัวตายก็มีคนมาช่วยไว้ทัน

นายหวังยังพูดกับเมียหลวงว่า “ก็ดีเหมือนกันที่ฉันตาบอดจะได้ไม่ต้องไปหาสาวๆ ไม่ต้องใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย อยู่กับบ้านให้เมียและลูกปรนนิบัติจะดีกว่า”

โบราณกล่าวว่า ถ้าพ่อแม่ป่วยนาน จะหาลูกที่กตัญญูอย่างแท้จริงไม่ได้ ต่อมานายหวังต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องปากเรื่องท้องค่อนข้างจะมีปัญหาและลำบากมาก เพราะปกติของที่ตัวเองชอบกินก็ไม่ได้กิน บางครั้งเมียหลวงยังพูดจาถากถางให้เสียใจเล่น เช่น ด่าว่า

“ไอ้บอดมีข้าว 3 มื้อให้กินก็นับว่าบุญแล้ว ไม่ให้ออกไปขอทานข้างนอกก็บุญหนักหนา ยังนึกอยากจะเสพสุขอะไรอีก”

นับวันเมียหลวงก็ยิ่งด่ารุนแรงมากขึ้น เมียหลวงมักจะพูดว่า “ค้าขายก็ยุ่งพออยู่แล้ว ยังจะมาปรนนิบัติรับใช้คนตาบอดพิกลพิการอีก ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อทรมานอีกทำไม น่าจะตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

ต่อมาลูกสาวก็ร่วมมือกับแม่ ช่วยกันด่านายหวัง บางครั้งสองแม่ลูกก็พูดจาถากถาง บางครั้งก็หัวเราะเยาะใส่ บางครั้งนายหวังกินข้าวไม่อิ่ม และอยากจะขอข้าวเพิ่ม เมียและลูกสาวไม่ยอมตักข้าวให้ บางมื้อเมียและลูกร่วมกินข้าวกับนายหวัง พอนายหวังจะคีบกับข้าว เมียก็แกล้งเอาจานกับข้าวออก นายหวังตักกับข้าวไม่ถึง เมียและลูกก็หัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข

นายหวังพอรู้ว่าถูกเมียและลูกกลั่นแกล้งก็น้อยใจ ลุกขึ้นไม่กินข้าว ถึงนายหวังไม่ได้กินข้าวเมียและลูกก็ไม่สนใจ นายหวังจึงต้องอดทนและกล้ำกลืนน้ำตา ได้แต่ถอนใจและพูดกับเมียและลูกว่า

“พวกเธอไม่รู้หรอกว่า คนพิการมันทรมานแค่ไหน สักวันหนึ่งถ้าพวกเธอพิการบ้าง จะรู้ว่ารสชาติมันขมขื่นอย่างไร”

คำพูดนี้ฟังดูแล้วแสนธรรมดา แต่เมื่อมาพิจารณาให้ดีแล้วเหมือนคำสาปแช่ง แม่ลูกทั้งสองฟังแล้วไม่รู้สึกอะไรและไม่คิดจะสำนึกผิด บางมื้อพอกินข้าวด้วยกัน แม่ก็เอาตะเกียบตีหัวนายหวังพอลูกสาวเห็นก็หัวเราะชอบใจ ทุกๆ ครั้งที่ถูกลูกและเมียกลั่นแกล้ง นายหวังจะพูดเสมอว่า

“สักวันหนึ่งพวกเธอพิการจะรู้ว่า คนพิการทางตามันเจ็บปวดแค่ไหน”

ฟ้าดินย่อมทรงความยุติธรรมเสมอ เมื่อนายหวังอายุได้ 47 ปี เช้าวันหนึ่งเมียนายหวังตื่นนอนตอนเช้าออกไปล้างหน้า ปรากฏว่าลูกตาทั้งสองข้างพร่ามัวมองไม่เห็นอะไรเลย เมียตกใจร้องจนสุดเสียง ลูกสาวจึงรีบวิ่งมาดูแล้วจึงส่งแม่ไปโรงพยาบาล หมอตรวจเช็คดูปรากฏว่าประสาทตาขาด แล้วตาจะต้องบอดตลอดชีวิต หมอช่วยอะไรไม่ได้

ตอนนั้นลูกสาวอายุได้ 28 ปี รู้สึกกลัวเรื่องกฏแห่งกรรมขึ้นมาทันที คิดว่าคำสาปแช่งของพ่อจะต้องเป็นความจริง จึงนึกในใจว่าปีหน้านี้จะปิดร้านค้า เงินทองที่สะสมมาได้จะไปตั้งตัวที่กรุงเทพฯ และจะแต่งงาน ถ้าลูกสาวสำนึกผิดและตอบแทนพระคุณของพ่อก็อาจจะมีชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่นี่กลับคิดหนีเอาตัวรอด

การไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ ถือว่าเป็นบาปเวรกรรมจะต้องตามสนองแน่นอน เมื่อปลายปีนั้นนั่นเองลูกสาวก็ตาบอดเหมือนพ่อแม่ ดังนั้น กฏแห่งกรรมจึงมีจริง เมื่อลูกและเมียได้พิการทางตา จึงได้รู้ว่า มิควรกลั่นเกล้งและหัวเราะเยาะนายหวังเลย


.............................................................

คัดลอกมาจาก
http://www.mindcyber.com/

แมวเจ้ากรรม

แมวเจ้ากรรม
โดย...ผู้จัดการออนไลน์

ดิฉันมีโอกาสได้รู้จักสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง
ที่เดินจูงมือกันมาเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ผู้เป็นสามีเล่าให้ฟังว่าเหตุที่เขากับภรรยาต้องมา
ขอเข้าปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน
ก็เนื่องจากทั้งคู่มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงมาก
เหมือนๆ กับศีรษะจะแตก แยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ
รวมทั้งร่างกายหลังไหล่ก็เจ็บปวดรวดร้าว
เหมือนกับถูกตี ถูกฟาดอย่างรุนแรง
ได้รับทุกขเวทนาเหลือเกิน กินไม่ได้นอนไม่หลับ
รักษาหมดเงินทองไปมากมายก็ไม่หายสักที
มีแต่ทุเลาลงเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น

ในที่สุดก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่รับรู้ถึงความทุกข์ทรมาน
ของสองสามีภรรยาคู่นี้ จึงแนะนำให้ทั้งคู่ทดลอง
เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน บางทีอาจจะหายก็ได้
ดังนั้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใดที่จะดีไปกว่านี้
ทั้งสองจึง ปรึกษาหารือกันและตกลงใจ
ที่จะพากันมาเข้าปฏิบัติธรรม
จากการปฏิบัติที่เคร่งครัดตามขั้นตอนจนครบ
จบหลักสูตร 7 คืน 8 วันฝ่ายสามีก็ได้รับรู้
ถึงสาเหตุของอาการปวดศีรษะ
ที่แทบจะแตกแยกออกมาเป็นเสี่ยงๆ
ว่ามันเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เขาทั้งสองคน
ต้องชดใช้ในชาตินี้นั่นเอง ซึ่งเขาได้เล่าให้ฟังว่า

เขามีบ้านพักอาศัยอยู่นอกเมือง
แต่ทว่ามาดำเนิน ธุรกิจเปิดบริษัทดำเนินกิจการ
อยู่บริเวณแถวๆ เสาชิงช้า
เย็นลงก็พากันขับรถกลับบ้าน
รุ่งขึ้นก็ขับรถมาทำงาน เป็นอย่างนี้ประจำ

วันหนึ่งทั้งสองคนเกิดต้องเดินทางไปทำกิจธุระ
ที่ต่างจังหวัดประมาณ 3 วัน พอถึงวันเดินทางกลับ
เมื่อไปถึงที่ทำงานและเปิดประตูห้องทำงาน
ซึ่งเป็นห้องกระจกที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
ก็ต้องตกใจเพราะพบว่าสิ่งของเครื่องใช้
กระดาษต่างๆ กระจุยกระจายยับเยินตกอยู่กับพื้น
พร้อมกับมีกลิ่นอุจจาระ ปัสสาวะแมวฟุ้งตลบ
ทั้งคู่เกิดอาการเลือดขึ้นหน้า
กัดฟันกรอด ด้วยความโกรธจัด

สาเหตุที่เกิดขึ้น ก็เพราะบังเอิญได้ขังแมวตัวหนึ่ง
เอาไว้ในห้องนั้นโดยไม่รู้มาก่อน ถึง 3 - 4 วัน
ฝ่ายเจ้าแมว เมื่อถูกขังไว้ในนั้น
ไม่สามารถออกมาข้างนอกได้
ต้องอดทั้งข้าว อดทั้งน้ำ
จึงพยายามดิ้นรนช่วยตัวเองเต็มที่
เพื่อจะหาทางออกให้ได้
และคงจะคิดเอาเองตามประสาแมวว่า
ถ้าหากทำลายสิ่งกีดขวางที่วางไว้ให้ราบเตียนหมดแล้ว
ก็คงจะพบช่องทางออกแน่ๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ

ข้างฝ่ายสองสามีภรรยา เมื่อรู้ว่าแมว คือ ตัวการ
ก็พากันค้นหาจนพบว่ามันนอนหมอบอยู่ใต้โต๊ะตัวหนึ่ง
สามีจึงบอกให้ภรรยาช่วยกันจับแมวเอาไว้
ฝ่ายแมว ดูเหมือนจะรู้ตัว
หรืออาจจะเป็นสัญชาตญาณของการ ป้องกันตัวเอง
มันจึงวิ่งหนีสุดชีวิต วิ่งวนเวียนไปมาอยู่ในห้องนั่นเอง
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง
ทั้งคู่ก็ยังไม่สามารถจับแมวเจ้ากรรมตัวนั้นได้
และด้วยความเหน็ดเหนื่อยจนแทบขาดใจ
ทำให้ความโกรธและความโมโหทวีขึ้นเป็นเท่าตัว !!

ดังนั้น เมื่อช่วยกันดักจับตัวได้
ด้วยอารมณ์โมโห และโกรธแค้นถึงขีดสุด
ทั้งสองช่วยกันจับสองขาหลังของเจ้าแมว
ฟาดกับฝาห้องอย่างเต็มที่โดยไม่ยั้งมือ
จนกระทั่งเจ้าแมวหัวแตก หัวแบะ
เลือดอาบ มันสมองไหล และตายคาที่
ข้างฝ่ายสามีซึ่งยังโกรธ ไม่หาย
และยังรู้สึกว่าไม่หนำใจ ก็จับแมวขึ้นฟาดอีก
แบบไม่นับ ทั้งๆ ที่เจ้าแมวก็ตายไปแล้ว
สักพักใหญ่ๆ เมื่ออารมณ์ค่อยสงบนิ่งลงแล้ว
ทั้งสองจึงจัดการนำซากศพแมวไปทิ้ง
และทำความสะอาดห้องทำงานใหม่

วันเวลาผ่านไปสองสามีภรรยา
ก็ลืมเรื่องแมวเจ้ากรรมเสียสนิท
แต่ไม่นานวันหนึ่ง รถเก๋งที่เคยขับพากันมาทำงานนั้น
เกิดเสียขึ้นมาดื้อๆ และต้องเอาเข้าอู่ซ่อม
ทั้งคู่จึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ด้วยการขี่รถจักรยานยนต์มาแทน
โดยสามีเป็นผู้ขับพาภรรยาซ้อนท้ายมา

ขณะที่ขับมาด้วยความเร็วสูงนั้น
เขากำลังจี้ท้ายรถ บรรทุกเหล็กเส้น
มาอย่างกระชั้นชิด แต่ด้วยสาเหตุใด ไม่ทราบได้
รถบรรทุกเหล็กเส้นเกิดเบรกกะทันหัน
ทำให้รถจักรยานยนต์ที่เขาขับมา
พุ่งเข้าชนท้ายรถบรรทุกเต็มแรง
จนทั้งคู่อาการสาหัส ฝ่ายสามีนั้นอาการหนัก
เพราะเหล็กพุ่งเสียบหน้าอกเส้นหนึ่ง
ศีรษะแตกแบะ แยกออกมา เห็นมันสมอง
ร่างกายก็ถลอกปอกเปิกยับเยิน ไส้พุงทะลัก

จนทุกคนที่เห็นสภาพบอกว่าไม่มีทางรอดแน่ๆ
แต่เดชะบุญที่ชะตายังไม่ขาด เหล็กที่เสียบนั้น
จึงไม่ถูกที่สำคัญ แพทย์จึงสามารถ
ผ่าตัดช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ส่วนภรรยาก็หัวแบะ
เย็บหลายเข็ม รวมทั้งบาดเจ็บตามร่างกาย
ทั้งสองต้องนอนรักษาตัวอยู่ ในโรงพยาบาล
นานเป็นเดือนๆ จนขาดรายได้
ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนไม่น้อย

เวลาผ่านไปเกือบปี สภาพร่างกายก็ค่อยๆคืนสู่ปกติ
แต่ทว่าสิ่งที่ยังคงอยู่ก็คืออาการปวดศีรษะ
ที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน โดยปวดร้าวไปทั่วทั้งใบหน้า
รักษาอย่างไร ก็ไม่หาย เพียงแค่ทุเลาลงบ้างเท่านั้น

และนี่คือกฎแห่งกรรมที่เกิดขึ้นกับสองสามีภรรยา
อันเนื่องมาจากการทำร้ายและฆ่าแมวอย่างโหดเหี้ยม
ทารุณ โดยขาดความเมตตา ความสำนึก
และความยั้งคิดใดๆ เพราะเมื่อทั้งสองช่วยกัน
จับสองขาหลังของแมวฟาดกับฝาห้องสุดแรง
แมวย่อมจะตื่นตกใจกลัว และบาดเจ็บทุกข์ทรมาน
จนกระทั่งหัวแบะมันสมองไหลตายคาที่
แค่นั้นยังไม่หนำใจยังทำทารุณซากของแมวต่อ !!

การทำทารุณกรรมต่อแมวให้
ได้รับความเจ็บปวดจนตายนั้น
ทำให้ทั้งคู่ต้องชดใช้หนี้กรรมอย่างรุนแรง
และรวดเร็ว !! แต่ยังดีที่สองสามีภรรยา
คงจะทำบุญสร้างกุศลไว้บ้าง
และชะตายังไม่ถึงฆาต
จึงรอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ในคราวนั้น
แต่ก็ต้องชดใช้กรรมด้วยการปวดศีรษะ
อย่างรุนแรงไม่หาย ทนทุกข์ทรมาน
มาเป็นแรมปี

บัดนี้ สองสามีภรรยาได้สำนึกแล้วว่า
บาปกรรมมีจริงกฎแห่งกรรมเป็นกฎที่หนีไม่พ้น
ทั้งคู่จึงหันกลับมา สร้างแต่บุญกุศล
ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล
ขออโหสิกรรมต่อเจ้าแมวตัวนั้นทุกวัน
รวมทั้งพากันรักษาศีล ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
และเจียดรายได้ส่วนหนึ่งสมทบเป็นเจ้าภาพ
เลี้ยงอาหารผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมเป็นประจำ
ทุกวันนี้อาการปวดศีรษะก็ค่อยๆ น้อยลงๆ เป็นลำดับ
ทำให้ทั้งสองคนต่างก็มีความสุขมากขึ้น

ไก่ไร้ขา ทรมาน ทั้งเป็น

ไก่กับชีวิตการเป็นอยู่ในชนบท

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดลำพูนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งแม่น้ำปิง ตามธรรมดาของบ้านเรือนในชนบทสมัยนั้นที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ไว้เพื่อเป็นอาหารและเลี้ยงไว้ขาย โดยเฉพาะไก่ที่ชาวบ้านจะพากันเลี้ยงไว้เกือบทุกครอบครัว

และเป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน ที่เจ้าไก่เหล่านี้จะซุกซนและชอบบินเข้าไปในครัวหรือในบ้าน เพื่อหาอาหารกินตามสัญชาติญาณ ซึ่งก็นำมาซึ่งความรำคาญ และความน่าปวดหัวสำหรับเจ้าของบ้านที่จะต้องมาคอยไล่มันให้ออกไปให้พ้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องคอยเก็บกวาดข้าวของ ที่กระจัดกระจายเพราะพวกมันคุ้ยเขี่ย หรือไม่ก็ต้องคอยเช็ดขี้ของพวกมันที่ชอบถ่ายไว้เรี่ยราด ซึ่งทั้งเหม็นและสกปรก

อีเขียวไก่ในบ้าน ต้องออกหาอาหารกิน
ให้มากกว่าปกติ เพื่อตุนพลังงาน

นางบัวบานก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่บ้านนั้น นางกำลังท้องแก่เต็มที และเป็นธรรมดาของคนท้องคนใส้ ที่มักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียว และขี้โมโหอยู่เสมอ และก็ไม่ต่างจากบ้านอื่นบ้านนางก็เลี้ยงไก่ไว้เช่นกัน และกำลังมีปัญหาอยู่กับอีเขียว ไก่จอมดื้อซึ่งมักจะบินเข้ามาคุ้ยเขี่ย ทำให้ครัวและบ้านเลอะเทอะอยู่เสมอ

เขียวมันกำลังฟักไข่จึงจำเป็นต้องออกหาอาหารกิน ให้มากกว่าปกติ เพื่อตุนพลังงานไว้สำหรับ การเลี้ยงดูลูกน้อยเกือบสิบชีวิต ที่กำลังจะออกจากไข่มาดูโลกในไม่ช้า นางบัวบานคอยรบคอยไล่เอาล่อเอาเถิดอยู่กับอีเขียวนานพอสมควร จนวันหนึ่งความอดทนของนางก็สิ้นสุด

คว้ามีดอีโต้ขึ้นมาแล้วสับลงไปเต็มแรง

วันนั้นอีเขียวบินเข้าไปในครัวและคุ้ยเขี่ยจนข้าวของ ตกลงพื้นแตกกระจาย นางบัวบานโมโหมากไล่ไปแป๊บเดียวอีเขียว ก็บินเข้าไปใหม่ จนมีคราวหนึ่งนางขึ้นไปไล่และคว้าขามันไว้ได้โดยบังเอิญ

ด้วยความโมโหที่ต้องเหนื่อยไล่มันอยู่นาน นางจึงคว้ามีดอีโต้ขึ้นมาแล้วสับลงไปเต็มแรง อีเขียวร้องอย่างเจ็บปวด และดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ไม่สามารถจะวิ่งหนีไปไหนได้ ได้แต่ใช้ร่างแถกไถลไปกับพื้นบ้าน เพื่อหนีเอาตัวรอด เพราะขาทั้งสองข้างของมันถูกนางบัวบานใช้มีดสับขาด และขาที่ขาดของมันทั้งสองข้างตอนนี้อยู่ในมือนางบับาน

รอยเลือดเลอะไปทั่วพื้นบ้าน ล้างยังไงก็ล้างไม่หมด

ดี เป็นไงอีเขียว เก่งนักหรือมึงไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ดูซิไม่มีขาแล้วต่อไปมึงยังจะมีปัญญาเข้ามาคุ้ยเขี่ยในบ้าน ให้มันเลอะเทอะอีกมั๊ย ไปเลยไปดิ้นไกลๆ กู นี่แนะ

นางใช่ขาเตะใส่อีเขียวจนร่างของมันปลิวตกจากบนเรือน ไปดิ้นกระแด่วๆ อย่างน่าสงสารตรงใต้ถุน พร้อมกับขว้างขาทั้งสงข้างของมันลงน้ำปิงไป รอยเลือดอีเขียวที่เลอะไปทั่วพื้นบ้าน ล้างยังไงก็ล้างไม่หมดคงเหลือไว้เป็นรอยจางๆ เหมือนกับจะจดจำและตราตรึงสิ่งที่นางได้กระทำกับมันไว้

นางบัวบานเจ็บท้องคลอด
หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน

สองเดือนต่อมาวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง กลางดึกของคืนนั้นนางบัวบานก็เจ็บท้องคลอด ทุกคนในบ้านรวมทั้งนางบัวบานต่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะนี่เป็นท้องแรกและจะเป็นลูกหลานคนแรกของวงศ์ตระกูล

หมอตำแยประจำหมู่บ้านถูกตามตัวมาอย่างเร่งด่วน ภายในบ้านดูชุลมุนวุ่นวายเพระไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้กันมาก่อน เสียงเอะอะโวยวายสับสน ดังระงมไปหมด

อีบัวบาน ไอ้ศักดิ์ ลูกมึงไม่มีขา

นางบัวบานถูกหมอตำแยพาเข้าไปในห้องแล้ว ทุกคนข้างนอกต่างพากันนิ่งเงียบรอคอยเวลาด้วยใจระทึกจนกระทั่ง "อุแว้ อุแว้"

"เกิดแล้วอี่บัวบานเกิดแล้ว ออกมาและ...แต่...ทำไมทำไมเด็กมันไม่..ไม่มีขา อีบัวบาน ไอ้ศักดิ์ ลูกมึงไม่มีขา"

เสียงยายปาหมอตำแยที่ทำคลอดร้องโวยวายอย่างตื่นตระหนก ทุกคนไม่ว่าปู่หรือย่า ตายายและญาติพี่น้องรวมถึงนายศักดิ์ผัวนางบัวบานต่างพากันกรูเข้าไปในห้อง แล้วภาพที่ปรากฏต่อสายตาก็ทำให้ทุคนยืนตะลึง ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด

ร่างของทารกน้อยที่อยู่ในมือยายปา เปื้อนไปด้วยเลือดและสายรกยังระโยงไม่ได้ตัด ขาทั้งสองข้างของเด็กสั้นกุดอยู่แค่หัวเข่าเท่านั้น สำหรับนางบัวบาน นางกรีดร้องแล้วสลบไปตั้งแต่วูบแรกที่ร่างของลูกน้อยหลุดพ้นออกมาจากช่องคลอด เผยให้เห็นส่วนอันอัปลักษณ์นั้นแล้ว

มรดกกรรม... ที่หนีไม่พ้น

สองปีต่อมา บนชานบ้านนางบัวบานนั่งเอาหลังพิงฝา สายตาเหม่อมองไปยังร่างของลูกน้อย ร่างน้อยๆ นั้นค่อยไถลไปบนรถเข็นที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความร่าเริง สดใสไร้เดียงสา

เสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจเมื่อยามที่เลื่อนรถไล่ตามลูกไก่ตัวเขื่องที่ถือเอาเป็นเพื่อนเล่น นางบัวบานรู้สึกตื้นขึ้นมาอก น้ำตาค่อยๆ รื้นบนขอบตา ก่อนจะปล่อยมันไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย

"ลูกแม่ทำไมหนอทำไมลูกต้องมารับกรรม ที่เจ้าไม่ได้ก่อ แม่ผิดเองบาปเหล่านั้นแม่ก่อขึ้นเอง ไม่น่าเลยไม่น่าเลย แม่ขอโทษลูกแม่ผิดไปแล้ว แม่ผิดไปแล้วแม่ขอโทษ แม่ขอโทษ "

เสียงพร่ำคร่ำครวญนั้นค่อยๆ ขาดหายไปในคอ นางฟุบหน้าลงกับเข่า ร้องให้สะอึกสะอื้นเหมือนกับว่าจะขาดใจไปตรงนั้น

หยุดคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำบาปอันหนานั้น

ที่ใต้ถุนบ้าน ร่างของอีเขียวซึ่งตอนนี้กลายเป็นแม่ไก่ที่ชรามากแล้ว ค่อย ๆ กระพือปีก และไถลร่างไปตามพื้นดิน พลางใช้ปากจิกคุ้ยลงไปบนพื้นอย่างลำบากเพื่อหาอาหาร อีกไม่นานหรอกอีกไม่นานชีวิตมันคงจะสิ้นสุด หลุดพ้นซึ่งความทรมานเสียที

แต่ร่างที่กำลังไถลร่าเริง อยู่ข้างบนสิ อีกยาวนานนักที่ต้องลำบากทนทรมาน และชดใช้เวรกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ แต่มันเป็นมรดกตกทอด เป็นมรดกกรรมที่เขาเองคงไม่อยากรับ และไม่น่าต้องมารับและสืบทอดอย่างนี้เลย

หากมารดาของเขาจะหยุดคิดสักนิดก่อนที่จะกระทำบาปอันหนานั้น คิดสักนิดว่าถ้ามันฉลาด และประเสริฐจริงมันก็คงไม่ต้องเกิดมาเป็นไก่อย่างนั้น มันเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน ที่ต้องหากินเพื่อการมีชีวิตรอดตามสัญชาตญาณเท่านั้นเอง

ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15077

กรรมที่ทำให้เกิดความผิดปกติตามอวัยวะของร่างกายหรือวิกลกาย

คัดจากหนังสือชำแหละกฎแห่งกรรม
โดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่

คัดย่อส่วนหนึ่งของบทนำจากหนังสือชำแหละกฎแห่งกรรม
ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่ มีความสนใจในธรรมะและปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ถึงกับมีผู้นำเอาข้อเขียนเกี่ยวกับธรรมะของเจ้าประเวศไปพิมพ์แจกในงานศพของหม่อมบัวผัน ณ เชียงใหม่ ในเจ้าราชวงศ์ เลาแก้ว ณ เชียงใหม่ อันเป็นข้อเขียนที่หลักแหลมแสดงความแตกฉานน่าอ่าน

แม้เจ้าประเวศจะมิได้เป็นคนเด่น มีชื่อเสียงโด่งดังในสังคมทั่วไป แต่ก็เป็นคนที่มีควรค่าความเป็นมนุษย์ คือเกิดมาดี อยู่ประพฤติดีและจากไปดี เรียกว่าเกิดมาแล้วไม่ขาดทุน ขอให้กุศลกรรมที่เจ้าประเวศบำเพ็ญมาตลอดชีวิตจงป็นอาริยสมบัติติดตามส่งผลให้ได้สู่สุคติเถิด

กรรมที่ทำให้วิกลทางกายที่ว่ามานี้เป็นลหุกรรมคือกรรมอย่างเบา อาจจะเกิดจากความคะนองความสนุกสนานตามอารมณ์ อาจเกิดจากความไม่รู้เท่าทันว่าจะเป็นกรรม หรือ เกิดจากการไม่เห็นความสำคัญในบางสิ่งมองข้ามในเรื่องบางอย่าง ปล่อยปะละเลยไม่ใส่ใจความรู้สึกเดือดร้อนของผู้อื่น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นการก่อกรรมที่เจตนาบ้างไม่เจตนาบ้าง รู้เท่าทันบ้างไม่รู้เท่าทันบ้าง เมื่อก่อกรรมแล้วก็มีผลของกรรมตามมาตอบสนอง ทำให้วิกลกาย หรือเกิดความผิดปกติตามอวัยวะของร่างกาย จึงเป็นเหตุให้ทุกข์ใจ

วิกลกายมีข้อยกเว้นอยู่สามข้อคือ วัย , ความขัดแย้งระหว่างแรงอธิษฐานกับผลกรรม , ปัจจุบันกรรม

- ความเสื่อมของสมรรถภาพของอวัยวะ ถ้าค่อยเป็นค่อยไปก็เป็นเรื่องของวัย ถ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็เป็นเรื่องของผลกรรมจากอดีตชาติ หรือเพราะโรคภัยไข้เจ็บที่สืบเนื่องมาจากอดีตชาติกรรม

- ตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่างแรงอธิษฐานกับผลกรรม เช่นได้ทำบุญในอดีตชาติแล้วอธิษฐานให้มีผมดกดำ แต่ชอบทำกรรมที่ทำให้ผมบางหรือหัวล้าน เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างแรงอธิษฐานกับผลกรรม ผลจึงส่งให้ชาติปัจจุบันตอนวัยหนุ่มวัยสาวก็มีผมดกดำดีด้วยแรงอธิษฐาน พออายุมากขึ้นผมก็เริ่มบางหัวล้านด้วยผลกรรม

- วิกลกายจากปัจจุบันกรรมได้แก่ อยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นสาเหตุให้เกิดวิกลกายได้ การอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเป็นผลกรรมจากการทำลายสาธารณประโยชน์ แม้ไม่เกี่ยวกับกรรมที่ทำให้เกิดวิกลกายโดยตรงก็ตาม ก็อาจเกี่ยวข้องกันโดยทางอ้อม

วิกลกายมีสาเหตุมาจากกรรมอย่างเบา ไม่ใช่บาปกรรมหนักหนา ดังนั้นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่จึงมีฤทธิ์มีอำนาจที่จะข่มให้ วิกลกาย ปรากฎให้เห็น หรือแสดงให้รู้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วหายไปก็ได้ หรือกลับเป็นผลดีได้บ้างในบางกรณี เช่นหัวล้านพองามช่วยเพิ่มสง่าราศรี ตาเขนิดนิดๆดูมีเสน่ห์ เป็นต้น

ตัวอย่างกรรมที่ทำให้วิกลกาย

กรรมที่ทำให้หัวล้าน

ในอดีตชาติเป็นคนที่มีความฉลาดหลักแหลมพูดเก่ง แต่ใช้ความเก่งนั้นไปในทางล้อเลียนผู้บังคับบัญชา ญาติผู้ใหญ่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ สมณะพราหมณ์ เห็นผู้ใหญ่เป็นเพื่อนเล่น ล้อเลียนผู้ใหญ่เป็นที่สนุกสนาน มิได้มีเจตนาร้าย มีเจตนาเพียงสนุกให้ตลกขบขันเพื่อความร่าเริงบันเทิงใจกันในกลุ่มพรรคพวกเพื่อนฝูง


กรรมที่ทำให้ผมหงอกก่อนวัยอันควร

-ในอดีตชาติเคยเป็นเด็กรับใช้พระภิกษุ ขณะพระไม่อยู่ก็ฉวยโอกาสเข้านั่งนอนในที่นอนของท่าน แอบใช้เครื่องใช้ของท่านโดยไม่ได้รับอนุญาต

-ในอดีตชาติเคยเป็นคนรับใช้ เคยเป็นพนักงานผู้น้อยพอลับหลังเจ้านาย หรือพอผู้บังคับบัญชาไม่อยู่ ก็วางท่าวางทางทำตัวเป็นเจ้านายแทน ก่อนเจ้านายจะกลับก็กลบเกลื่อนร่องรอย ด้วยความไม่เคารพในสิทธิ์ของผู้มีอุปการะ ละลาบละล้วงเกินที่อยู่ที่กินของท่านผู้มีพระคุณ มาในชาตินี้จึงมีผมหงอกก่อนวัย


กรรมที่ทำให้สายตาสั้น

ในอดีตชาติเคยเพ่งมองสู้สายตา ท้าทายด้วยสายตากับสมณพราหมณ์ ผู้ทรงศีล ผู้สำเร็จฌาน เทพเจ้า (ทรงที่จริง) ด้วยสายตาที่มีความรู้สึกเหยียดหยาม หรือมองดูบิดามารดาและผู้มีพระคุณด้วยสายตาชิงชัง มองด้วยสายตาที่ไม่เคารพ


กรรมที่ทำให้เป็นโรคที่เกี่ยวกับโพรงจมูก จมูกบี้ จมูกไม่สวย

-ในอดีตชาติไม่สำรวมระวังท่าทางในการพูด ชอบทำจมูกย่นเวลาพูดกับผู้ใหญ่
- ชอบสูดดมกลิ่นดอกไม้ที่ใช้บูชาพระจนดอกไม้ช้ำ
- นำดอกไม้ที่เขาเตรียมจัดไว้บูชาพระหรือจัดไว้รับแขกผู้ใหญ่ โดย แบ่งปันไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว
- แม่ครัวทำอาหารอย่างไม่ดูกาลเทศะส่งกลิ่นยั่วยวนพระภิกษุสงฆ์ที่กำลังสวดมนต์ , กำลังทำสมาธิ เป็นต้น
- ผู้ที่ชอบเผาขยะ หรือสุมไฟไล่ยุง ควันไฟที่พัดกระจัดกระจายไปถึงผู้ที่อยู่บริเวณบ้านข้างเคียง ทำให้ผู้อื่นนั้นแสบตาและเหม็นแสบจมูก


กรรมที่ทำให้ระบบหายใจขัดข้อง

กรรมเก่าของบุคคลที่ชอบปาของเสียของเน่าของโสโครกใส่ผู้อื่นอาจทำเพราะความสนุกสนาน เช่นปาไข่เน่า เป็นต้น ชอบขับถ่ายอุจจาระไม่เลือกที่ตามที่สาธารณะต่างๆ เสมอจนส่งกลิ่นเหม็นรบกวนผู้คนที่ผ่านไปมา หรือปัสสาวะในที่สาธารณะหรือข้างรั้วบ้านผู้อื่นเป็นประจำส่งกลิ่นเหม็นรบกวนคนแถวนั้น จนคนแถวนั้นต้องเขียนคำห้ามไว้ก็มี ผลแห่งความมักง่ายนี้ทำให้บุคคลนั้นมีระบบหายใจขัดข้อง เจอร้อน หนาว ตากแดดนิดหน่อย ก็เป็นหวัดคัดจมูก จาม เป็นต้น แม้มีอาการเป็นไข้หวัดนิดหน่อยก็มีน้ำมูก เสลดมากกว่าคนทั่วไป


กรรมที่ทำให้เกิดขนดก

ขนดกที่ว่านี้เป็นคนขนดกผิดปกติ เป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่ชอบไม่พอใจ เช่นสาวบางคนมีขนหน้าแข้งดกมาก ขนแขนดกมาก เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่สวยงาม เป็นเพราะกรรมที่ไปเที่ยวทำบุญกุศลตามวัดหรือปูชนียสถาน หรือไปเที่ยวตามวนอุทยานแห่งชาติต่างๆ เช่นน้ำตก สถานที่หย่อนใจ สวนสุขภาพ เป็นต้น นอกจากเที่ยวแล้วได้นำอาหารขนมต่างๆ ไปทาน ได้ทิ้งเศษอาหาร ถุงขนม ขยะต่างๆไว้เรี่ยราด ตามบริเวณวัด บริเวณวนอุทยาน โดยไม่นำไปทิ้งที่ถังขยะ จึงเป็นผลกรรมทำให้ขนดก


กรรมที่ทำให้เกิด ไฝ ปาน ขี้แมลงวัน

ในอดีตชาติเป็นคนซุกซนมืออยู่ไม่สุข ยืมหนังสือตำรับตำราของคนอื่นหรือของห้องสมุดมา แล้วใช้หมึก,ดินสอทำตำหนิหรือขีดเส้นใต้ใจความสำคัญไว้ โดยไม่คำนึงถึงว่าเป็นของคนอื่น หรือ เมื่อไปเที่ยวสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ จารึกชื่อฝากไว้ที่ต้นไม้ใหญ่

เข้าห้องน้ำสาธารณะแล้วชอบขีดเขียน วาดรูปแต่งแต้ม ผนังห้องน้ำในสถานที่นั้นๆให้สกปรก หรือประสงค์โฆษณาขายสินค้าแล้วเที่ยวไปติดแผ่นป้ายโฆษณาไว้ตามที่สาธารณะต่างๆ เช่นเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ กำแพงวัด กำแพงโรงเรียน รั้วบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น

ด้วยผลกรรมที่ชอบแต่งแต้มทำเครื่องหมายอะไรต่อมิอะไรไม่เลือกที่ จึงทำให้มีไฝเม็ดโตมีตำหนิที่ใบหน้า มีปานดำที่น่าเกลียดที่หน้าหรือที่แขน เป็นต้น หรือมีขี้แมลงวันชุกชุมบนใบหน้าหรือตามร่างกาย


กรรมที่ทำให้ระบบขับถ่ายขัดข้อง

บุคคลที่ชอบขว้างปาสุนัข ,แมวที่กำลังขับถ่ายคูตมูตรอยู่ทำให้สุนัขแมวไม่ได้ขับถ่าย หรือแกล้งดึงเหนี่ยวรั้งตัวผู้ที่กำลังปวดท้องหนักไม่ให้เข้าส้วม หรือนายจ้างที่ใช้แรงงานลูกจ้าง, คนรับใช้อย่างหนักจนไม่มีโอกาสถ่ายหนักถ่ายเบา ทำให้เขาขับถ่ายผิดเวลาเป็นเหตุให้ท้องผูก ถ่ายไม่ออก เป็นต้น ด้วยผลกรรมทำให้บุคคลนั้นเบาไม่ค่อยออก เข้าส้วมถ่ายอุจจาระก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะทำธุระเสร็จ และเป็นโรคท้องผูกง่าย


กรรมที่ทำให้ขาโก่ง ขาไม่ตรง ขาคด

- ชอบนั่งไขว่ห้างต่อหน้าสมณะ
- นั่งเหยียดเท้าไปยังผู้ใหญ่
- นอนเอาเท้าชี้ไปยังพระพุทธรูป แท่นบูชา เป็นการไม่เคารพ
- ติดนิสัยชอบใช้เท้าชี้ของแทนที่จะใช้มือชี้
- ใช้เท้าเขี่ยของหรือข้ามของที่เขาเตรียมไว้สำหรับไปทำบุญ
- ปีนป่ายเล่น ขึ้นที่สูงเหนือพระพุทธรูปโดยไม่จำเป็น เป็นการขาดความเคารพ
- เดินบนบ้านชั้นสองแรงๆ (บ้านสมัยก่อนที่ไม่มีฝ้า) ทำให้ฝุ่นล่วงใส่หัวผู้ที่อยู่ชั้นล่าง

ทำไม !...แม่ชีธนพรถึงล่วงรู้เรื่องกรรม


ทำไม !...แม่ชีธนพรถึงล่วงรู้เรื่องกรรม

แม่ชีธนพร ชัยประคอง หรือแม่ชีใหญ่ เดิมเป็นฆราวาสธรรมดาคนหนึ่ง มีชื่อและนามสกุลเดิม คือ นางมาลินี ชัยปกรณ์ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ได้ใช้ชีวิตทางโลกจนมีบุตรทั้งหมด ๕ คน ทางด้านการเงินถือว่ามีฐานะพอสมควร ประกอบกับมีอาชีพค้าขายได้กำไรดี

สำหรับเหตุของการบวชนั้น แม่ชีธนพร บอกว่า เกิดจากเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก เพราะมีความวุ่นวาย โดยเฉพาะปัญหาทางครอบครัว ปัญหาที่สามีไม่สามารถเข้ากันได้กับผู้เป็นพ่อ ในที่สุดก็ต้องเลิกรากันไป เกิดความทุกข์ใจ จึงได้หัดสวดมนต์ไหว้พระ เอาคุณพระเป็นที่พึ่งมาโดยตลอด กระทั่งได้มีโอกาสรู้จักกับ หลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต แล้วก็ได้บวชชีพราหมณ์ เริ่มแรกคิดว่าจะบวชเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๐ วันเท่านั้น

ส่วนการเปลี่ยนชื่อจาก มาลินี มาเป็น ธนพร นั้น แม่ชีธนพร ให้เหตุผลว่า ครั้งหนึ่งได้ไปกราบ หลวงพ่อเฮง วัดเขาน้อย จ.ระยอง โดยท่านทักว่าให้เปลี่ยนชื่อจากมาลินี เป็นธนพร ชื่อนี้จะทำให้มีคนรู้จักทั่วประเทศ ครั้งแรกไม่เชื่อเนื่องจากไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ก็เลยลองเปลี่ยนดู เพราะถือว่าเป็นมงคล เป็นชื่อที่พระท่านตั้งให้ และก็เป็นจริงดังคำทำนายของหลวงพ่อเฮงจริงๆ

ภายหลังได้เข้าสมาธิ ที่วัดเขาอิติสุคโตเพียงวันแรก ได้รับคำแนะนำ จากหลวงพ่อปรีชาให้แม่ชีธนพรและแม่ชีอีก ๕ ท่าน ขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบนเขา ระหว่างแม่ชีธนพรสามารถเข้าสมาธิ ต่อเนื่องยาวนานถึง ๒ ชั่วโมง จิตรวมลงเป็นหนึ่งเกือบได้จตุถฌาณ จากนั้นบังเกิดภาพนิมิตขึ้นมาเป็นฉากๆ

แม่ชีธนพรเล่าว่า เหมือนกับการฉายสไลด์ภาพเข้ามาแล้วถูกเลื่อนออกไปทีละภาพๆ ภาพที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นเป็นเรื่องราวของตัวเองทั้งสิ้น

จังหวะที่เห็นภาพ จิตตัวรู้ ก็อธิบายเรื่องราวของกรรม ให้เข้าใจตามไปด้วยว่า กรรมที่ทำลงไปเป็นผลให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ตามมา เรื่องราวทั้งหมดย้อนไปตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

ภาพหนึ่งที่เห็นอยู่นั้น ในใจได้ถามตัวเองว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ตัวรู้ก็บอกออกมาให้เข้าใจว่า กำลังขโมยเงินคนอื่น แล้วภาพเก่าก็เลื่อนออกไป กลายเป็นภาพใหม่เข้ามาฉายแทน พอภาพใหม่เข้ามาก็ถามอีกว่า นี่อะไร ในใจก็บอกออกมาว่า กำลังพูดให้คนอื่นทะเลาะกัน คำตอบจากในใจสามารถอธิบาย สิ่งที่เห็นได้หมด แสดงว่า ตัวเองนี้แหละที่บันทึกการกระทำต่างๆ นั้นไว้ แม่ชีธนพร เล่าต่อว่า ทุกภาพที่เห็นได้เรียงลำดับแต่เล็กมาอย่างเป็นระเบียบ เริ่มมีสติคิดได้ว่า หากตายลงวันนี้คงมิต้องไปอยู่ในนรกหรอกหรือ

การนั่งสมาธิครั้งแรกนี้มีประโยชน์มาก เพราะทำให้รู้เรื่องกรรมและผลของกรรมเป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกกลัวในการทำชั่วขึ้นมาอย่างจับใจ จิตน้อมนำไปทางธรรมอย่างลึกซึ้ง เห็นภัยในทางโลกชัดเจนมากขึ้น ขณะที่จิตตรึกในธรรมอยู่นั้น เพื่อนๆ แม่ชีที่นั่งกรรมฐานด้วยกันได้ถอนจากสมาธิออกมาหมดแล้ว คงเหลือแต่แม่ชีธนพรเพียงท่านเดียวที่คงเข้าสมาธิอยู่

แม้การบวชชีพราหมณ์ครั้งนี้จะทำให้แม่ชีธนพรได้ความรู้พิเศษจากการนั่งกรรมฐาน แต่ยังมีกรรมบางส่วนที่เข้ามาขวางทำให้ใจคิดอยากสึก ตอนนั้นได้เปลี่ยนชุด เป็นฆราวาสธรรมดาแล้ว หลวงพ่อปรีชาได้ถามว่า สึกแล้วจะไปทำอะไร แม่ชีก็กราบเรียนท่านว่า จะไปทำร้านอาหาร ระหว่างที่ยืนยันจะสึกนั้น มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น

ภายหลังที่ได้กลิ่นคาวประหลาด ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน ทันใดนั้นเองร่างกาย ของท่านก็ไม่สามารถควบคุมได้ ประหนึ่งว่ามีพลังงานบางอย่างที่เป็นอำนาจจิต อันมีพลานุภาพมหาศาลเข้ามาควบคุมร่างกายท่าน ครั้งแรกไม่เข้าใจ พยายามที่จะหันหน้าตรงๆ แต่คอและหน้ากลับบิดไปทางซ้ายที ขวาที จนบิดไปครบสี่ทิศ จากนั้นประกาศตนเองออกมาว่า เป็นพรหม

หลังจากที่องค์พรหมเข้ามาผ่านร่างแล้ว เพียงครู่เดียวก็ปรากฏเป็นดวงจิตพลังงานอื่นๆ ที่ผ่านร่างกายท่านเข้ามาอีกหลายอย่าง ทั้งพญาช้าง พญานาค พญายักษ์ และเทพพรหม อีกหลายองค์ จนกระทั่งองค์สุดท้ายเป็น พระแม่ธรณี

เมื่อองค์พระแม่ธรณีลงมาแล้วรู้สึกด้วยว่า เหมือนมีน้ำไหลออกมาจากบริเวณหน้าผาก จึงเป็นที่มาของการไม่สึกจากแม่ชี ของแม่ชีธนพร ตราบจนปัจจุบัน

สำหรับการตรวจกรรมในอดีตชาตินั้น แม่ชีธนพรบอกว่า ครั้งแรกได้ตรวจดูอดีตกรรมของญาติโยม โดยเริ่มจากการส่องญาณดูหลวงพ่อปรีชาก่อน ดูว่าที่หลวงพ่อปรีชารู้เรื่องราวต่างๆ ของญาติโยมที่มานั้น ท่านรู้ได้อย่างไร นั่งสมาธิครั้งแรกจิตสงบนิ่ง จนเห็นอดีตกรรมของตัวเอง ระหว่างใช้วาระจิตตรวจดูกรรมของหลวงพ่อปรีชานั้น หาได้รอดพ้นข่ายญาณของหลวงพ่อปรีชาไม่ เพราะหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ หลวงพ่อปรีชาก็ตำหนิใส่แม่ชีธนพรว่า มึงแอบดูกูทำไม

หลวงพ่อปรีชาได้เข้ามาสอนแม่ชีธนพร ว่า เอ็งดูแบบนี้ไม่ได้ เรียกว่าเป็นตัณหา คือความอยากดูแบบนี้ไม่บริสุทธิ์ เป็นการอยากไปรู้เรื่องของเขา เมื่อหลวงพ่อห้ามไว้ แม่ชีธนพรก็ยังสงสัยว่า เมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมท่านจึงเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในเมื่อมันไม่ดี

แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ไม่ได้ซักถามหลวงพ่อปรีชาต่อ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ซึ่งหลวงพ่อปรีชาสอนเอาไว้ว่า การรู้ให้เป็นไปโดยการปล่อยวาง ให้รู้เองเห็นเองโดยไม่มีเจตนาความอยากเข้าไปพัวพัน การรู้แบบนี้เป็นการรู้โดยที่จิตเป็นอุเบกขากรรม ตัวรู้รู้โดยบริสุทธิ์เพราะไม่มีตัณหาเข้ามายุ่งเกี่ยว และไม่มีอุปทานใดๆ แอบแฝง

“แม้กรรมจะเป็นสิ่งลี้ลับ เพราะกรรมบางอย่างให้ผลข้ามภพข้ามชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่กฎแห่งกรรมก็ยังเป็นสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงยืนยัน แม้ว่าการให้ผลของกรรม บางครั้งบางกรณีจะอยู่นอกเหนือความเข้าใจของคนทั่วไปก็ตาม” แม่ชีธนพรกล่าวยืนยัน พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า

ผลแห่งกรรมที่เราทุกคนต้องประสบหากประมาทและไม่เชื่อในเรื่องกรรม

๑. ลูกเถียงพ่อเถียงแม่ จัดว่าทำกรรมชั่วที่หนักหนาสาหัส เมื่อลูกผู้นั้นเริ่มเข้าสังคมจะโดนผู้อื่นว่าร้าย ถกเถียงชนิดคำต่อคำ อาจส่งผลต่อร่างกายทำให้ลิ้นสั้นจุกปาก พูดจาไม่ถนัด พูดลิ้นพันกัน ลิ้นแข็ง เป็นกรรมที่แสดงออกมาทางร่างกาย

๒. ลูกที่ทำร้ายบิดามารดาตนเอง เป็นกรรมหนักว่าข้อแรกหลายเท่า ในศาสนาพุทธท่านว่า ตายไปแล้วย่อมไปเกิดในขุมนรกชื่อตปะนรก มีลักษณะเป็นบัวกรดเผาทำลายอยู่เป็นนิจ และมียมบาลคอยเอาฆ้อนทุบหัวอยู่ร่ำไป

๓. การทำแท้ง เป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียน ผู้ที่ทำกรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้ เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตนจองเวรอยู่ด้วยความอาฆาต

แม่ชีธนพรยังกล่าวถึงการแก้ไขวิบากกรรมจากการทำแท้งด้วยการทำบุญกุศล ถือศีลกินเจ สวนมนต์ภาวนา อธิษฐานจิตอุทิศบุญจากการเจริญทาน ศีล ภาวนาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พร้อมทั้งขอให้เขาอโหสิกรรมก็จะสามารถแก้ไขได้ และใครก็ตามที่ต้องการเปิดกรรม

อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของแม่ชีธนพรทั้งหมดอ่านได้จากหนังสือ “เกิดแต่กรรม” แม่ชีธนพรจะเปิดกรรมในวันเสาร์-วันอาทิตย์ และงดวันโกนกับวันพระ สอบถามรายละเอียดได้ที่วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร เขตคลองสาน กทม. โทร. ๐-๒๘๖๑-๔๕๓๐-๑

.........................................................................

นสพ. คมชัดลึก ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2547
เรื่องโดย สุทธิคุณ กองทอง

เพรงกรรม

เพรงกรรม

ก่อนอื่นแม่ชีขอแจงให้เข้าใจก่อนนะคะว่า “เพรง” คำนี้ใช้ตัว “ร” เป็นตัวควบกล้ำ แปลว่า “เก่า” คำว่า “เพรงกรรม” จึงหมายถึง “กรรมเก่า” นั่นเอง
แม่ชีจะขอพูดคุยและเขียนถึงกรรมเก่าของคุณโยมผู้หญิงคนนี้ ซึ่งถ้าผู้อ่าน “ชีวิตติดกรรม” เล่มนี้ ได้มีโอกาสดูวิซีดีของแม่ชี ก็จะเห็นว่า เธอเป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม ผิวพรรณดีมีชาติตระกูล แม้ไม่ได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีราคาหรือแต่งหน้าเขียนตา ก็ยังดูผุดผ่องกว่าคนทั่วไป แต่คุณโยมมีความทุกข์ค่ะ และยังเป็นทุกข์ที่ไม่รู้จะปริปากบอกใคร ฟังหรืออ่านเรื่องของเธอซิคะ
“รู้สึกเวียนหัว ปวดหัวตลอดเลยค่ะ....คุณแม่”
“โยมเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับตัวโยมซิคะ”
“ตอนเมื่ออายุประมาณ 14-15 หนูออกมาอยู่ตัวคนเดียวกับเพื่อนๆ ค่ะ แล้วพออายุได้ประมาณ 18-19 ก็มีสามี คนที่อยู่ด้วยกันปัจจุบันนี้ค่ะ ตอนนั้นมีเงินก็เลยย้อนไปดูแลส่งเงินให้พ่อแม่ แต่ต่อมาฐานะก็เริ่มแย่ลง ก็เลยไม่ได้ส่งค่ะ”
“สามีทำงานอะไรหรือคะ”
“เล่นการพนันเป็นอาชีพค่ะ...แล้วก็เล่นพระเครื่องค่ะ”
“อย่างนี้เรียกว่าอาชีพไม่มั่นคง...แม่ชีพูดได้ไหมคะ”
“ได้เต็มที่เลยค่ะ...หนูอยากรู้ว่ามีกรรมอะไร ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้”
“โยมไม่ใช่คนธรรมดานะ ในอดีตชาติเป็นผู้มียศมีศักดิ์เชียวละ มีสามีในอดีตชาติมีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าเมือง โยมมีกรรมเกี่ยวกับเรื่องความรักค่ะ สามีที่เป็นเจ้าเมืองจับได้ว่านอกใจ ไปได้เสียกับผู้ชายอื่น ก็เลยกักขังโยมไว้ แล้วก็จับผู้ชายคนนั้นมาทรมาน มัดเอาไว้แล้วก็กล้อนผม ไม่ใช่กล้อนแต่ผมนะคะ แต่ถลกหนังหัวขึ้นมาด้วย ชู้รักของโยมก็ร้องท้าว่าให้ฆ่าให้ตาย สามีก็สั่งให้เอาไม้มาตบปาก ตบจนฟันร่วงหมดปาก พอโยมมาเห็นเข้าก็เสียใจ กลับไปเอายาพิษของสามีมากินเพื่อฆ่าตัวตาย
ทีนี้กรรมเก่าก็เลยตามมาส่งผลกับโยมในชาตินี้ ทุกวันนี้ปวดท้องแล้วก็แสบกระเพาะด้วย...ใช่ไหมคะ...”
“ใช่ค่ะ...แสบท้องตลอดเวลา กินยาอะไรก็ไม่หาย”
“แล้วจากการที่ชู้รักของโยมต้องถูกกล้อนหัวเพราะโยมทุกวันนี้ โยมก็เลยมีกรรมกับหัวและผม ต้องปวดหัวเวียนหัวตลอดเวลา ผมร่วงแค่เส้นเดียวก็รู้สึกหัวใจแทบขาด โยมมักจะถูกสามีในอดีตทุบตีก่อนร่วมหลับนอน”
“ปัจจุบันนี้ก็เป็นค่ะ...คุณแม่”
“พอนอนเสร็จแล้วก็ร้องไห้”
“ใช่ค่ะ...เป็นอย่างนี้แทบทุกครั้ง”
มีเสียงดังฮือฮาว่า “แม่ชีพูดได้แม่นยำราวกับตาเห็น” แม่ชีไม่เห็นด้วยตาหรอกค่ะ แต่เห็นด้วยใจ
“นี่แหละค่ะ ที่เขาเรียกว่าทั้งรักทั้งแค้นละ ส่งผลจากอดีตติดมาถึงในปัจจุบัน”
“แล้วจะมีวิธีแก้ไขไหมคะ”
“มีซิคะ...มีเหตุก็ต้องมีผล มีปมปัญหาก็ต้องมีหนทางแก้ไข เรื่องนี้อาจแก้ไขได้ด้วยการเจริญสมาธิ เสร็จแล้วก็อธิษฐานว่า...ดวงจิตของข้าพเจ้าที่เคยฆ่าตัวตายนั้น อย่าเกิดอย่ามีกับข้าพเจ้าอีก ขอจิตดวงนั้นจงหลุดพ้น เพราะตอนนี้เกิดใหม่แล้ว ถ้าข้าพเจ้าเคยเป็นผู้กระทำใครให้ได้รับความเดือดร้อนจากสังขารนี้ ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ถูกกระทำ ข้าพเจ้าไม่ขอจองเวร...แค่นี้แหละค่ะ”
“ขอถามอีกนิดนะคะ สามีเป็นคนโมโหง่าย บางทีเวลากินถ้าทำไม่ทันหรือไม่ถูกใจ เคยเอาเก้าอี้ทุบหัวหนู เอามือจิกลากผม”
“นั่นเป็นกรรมที่โยมต้องชดใช้ให้กับผู้ชายคนที่เคยเป็นชู้รักของโยมนั่นแหละค่ะ โยมกลับไปแก้กรรมอย่างที่แม่ชีแนะนำ ต่อไปก็หมดปัญหาแล้วค่ะ”

กรรมเก่าต้องชดใช้ กรรมใหม่อย่าสร้างมา
อย่าจองซึ่งเวรา ถือคำว่าให้ “อภัย”..

...
จากหนังสือ ชีวิตติดกรรม

กรรมที่ไม่ได้ก่อ

กรรมที่ไม่ได้ก่อ

บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ชีวิตติดกรรมของตัวเรา หรือเวรกรรมที่ติดตามตัวเรามาในชาตินี้ เป็นเพราะเราก่อหรือสร้างกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ แต่บางทีก็ไม่ใช่หรอกค่ะ กรรมบางตัวนั้นเราอาจไม่ได้เป็นผู้ก่อ ผู้ทำ หรือผู้สร้างกรรมนั้นเลยก็ได้ ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่พันธุกรรม หรือกรรมที่เกิดจากบรรพบุรุษใดๆ เป็นกรรมที่เราเป็นผู้ถูกกระทำแท้ๆ แต่เรายังต้องรับผลร้ายๆ ที่ยังตามมาทำร้ายหรือทำลายเราให้รู้สึกเจ็บปวดลำบากหรือทรมานได้ อันนี้เรียกว่าเป็น “สัญญากรรม” ค่ะ ไม่ใช่เราไปสัญญาหรือสาบานกับใครไว้นะคะ แต่เป็นสัญญาที่หมายถึงการกำหนดจดจำที่ยังติดตัวติดอยู่ในจิตสุดท้ายของเราในชาติอดีตและยังติดตาม มาในชาตินี้ดังเช่นเรื่องของโยมผู้หญิงคนนี้ที่แม่ชีจะเล่าให้โยมที่เป็นผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณาดูค่ะ


7 สิงหา ชะตาขาด

“หนูเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองค่ะ...คุณแม่ เพราะหนูสุขภาพไม่ดี มักจะปวดหัว ปวดไปทั้งตัว บางทีก็หายใจไม่ออกค่ะ รู้สึกเกรงใจเจ้านายเลยลาออกจากงานเพื่อรักษาตัว เคยบวชชีพราหมณ์ 2 ครั้ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็ยังไม่หาย”
“แม่ชีจะบอกถึงเหตุแห่งทุกข์ หรือเหตุของกรรมที่โยมเป็นก่อนนะคะ เมื่อชาติก่อนหนูถูกฆ่าตายเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค่ะ”
“หรือคะ...คุณแม่ หนูจะรู้สึกเจ็บปวดในช่วงเดือนสิงหาที่ผ่านมานี้ แล้วทำไมเขาถึงฆ่าหนูคะ...”
“หนูใส่เครื่องประดับมากค่ะ คนเลวพวกนั้นมีกัน 4 คนค่ะ ทีแรกจะเอาแค่เครื่องประดับ ต่อมาก็คิดที่จะข่มขืน หนูถูกลากตัวไปปลุกปล้ำ พอดีมีคนมา พวกนั้นชะงัก หนูลุกขึ้นมาก็เลยถูกพวกนั้นเอาไม้หน้าสามที่มีตะปูแหลมทะลุออกมาหนึ่งเซ็นด้วยนะ ฟาดลงไปบนหัวยุบลงไปตามไม้ ตอนนี้เจ็บหัวมากใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ...เจ็บร้าวไปหมดอย่างไม่มีเหตุผล”
“มีซิคะ...นี่ละเป็นสัญญากรรมที่ตามมา เป็นดวงจิตสุดท้ายก่อนตายที่ผูกพันอยู่ แม่รู้ว่าตอนนี้หนูนอนหมอนแข็งไม่ได้”
“หมอนนิ่มก็ยังนอนไม่ค่อยได้ค่ะ มันเจ็บปวดไปหมด”
“แล้วยังเจ็บนิ้ว เจ็บมือด้วยใช่ไหมคะ...”
“ใช่ค่ะ”
“เพราะคนพวกนั้นพยายามรูดแหวนออกจากนิ้วหนู...แล้วก็ช่วยกันทุบหน้าขาทุบๆๆๆ เพื่อจะข่มขืน แต่ยังไม่ทันได้ข่มขืนนะคะ”
“ตอนนี้หนูก็ยังเจ็บหน้าขาค่ะ ยิ่งเวลานั่งสมาธิก็จะเจ็บมาก จนแทบนั่งไม่ได้”
“ตอนนี้หนูอายุเท่าไหร่คะ”
“อายุ 26 ค่ะ”
“ที่จริงเมื่อ 7 สิงหาที่ผ่านมาน่ะ หนูตายไปแล้วละ เมื่อตอนที่หนูถูกฆ่าตายก็ 7 สิงหา เมื่ออายุ 26 ปีพอดี แต่เพราะหนูทำดี ทำบุญถือศีล ก็เลยเป็นการต่ออายุมาได้ ไม่งั้นก็ตายไปแล้ว”
“ที่จริงเวลาที่เจ็บปวดมากๆ หนูก็อยากตายเหมือนกันค่ะ แต่พอเห็นแม่ร้องไห้ก็เลยต้องอดทน แล้วก็พยายามเข้าวัดปฏิบัติวิปัสสนา สมาทานศีล”
“หนูนั่งสมาธิได้ใช่ไหมคะ”
“ได้ค่ะ บางทีก็เห็นผู้ชายตัวดำๆ ร่างใหญ่ กำลังจะฆ่าหนู”
“นั่นแหละค่ะ คนเลวพวกนั้น และที่เห็นได้ก็เพราะเป็นดวงจิตดวงสุดท้ายก่อนที่จะตาย ยังมีสัญญาคือความทรงจำที่ติดมาในชาตินี้ คนที่นั่งสมาธินี่บางคนก็เห็นได้อย่างที่แม่ชีเห็นนะคะ แต่เห็นแล้วจะทำยังไงเท่านั้น”
ตัวของเรา-จิตของใคร
“แล้วเวลานั่งสมาธิ นอกจากจะเจ็บหน้าขาแล้ว หนูยังรู้สึกหนาวเหมือนตัวเองแช่น้ำแข็งด้วยนะคะ”
“อันนี้ไม่ใช่จิตของหนูหรอกค่ะ แต่เป็นจิตของคนที่เคยจมน้ำตายมาอาศัย หนูเคยไปเมืองกาญจน์ใช่ไหมคะ”
“ไปเมื่อหลายปีมาแล้วค่ะ”
“นั่นละ...เขามาอาศัยอยู่ หนูเลยมีจิตเดิมที่เป็นของเราเองที่ทำให้ปวดหัวเจ็บหน้าขา และจิตที่สอง ก็คือรู้สึกหนาวข้างใน คนเราบางคนที่เป็นหลายๆ โรค อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคไต อะไรพวกนี้ บางทีไม่ใช่โรคของเราทั้งหมดหรอกค่ะ ไม่งั้นก็คงตายไปแล้วละ มันเป็นโรคที่ติดมากับจิตที่มาอาศัยหรือเป็นกรรมเกาะติดเราอยู่น่ะ”
“แล้วหนูจะมีวิธีหลุดพ้นหรือเปล่าคะ หนูอยากจะพ้นจากกรรมพวกนี้ ก็จะได้หายจากความเจ็บปวดทรมานซะที”

กรรมที่ไม่ได้ก่อ
“มีซิคะ...การที่หนูทำดี เข้าวัดทำบุญรักษาศีล นี่เป็นเหมือนวิธีสร้างทุนให้เกิดผลบุญ ในการต่ออายุเราได้ ต่อไปหลังจากสวดมนต์รักษาศีล สมาทานศีล แล้วก็นั่งสมาธิ เจริญภาวนาว่าจิตตัวสุดท้ายของข้าพเจ้าเคยเป็นทุกข์ด้วยโรคอะไร เหตุอะไร ถ้าเคยเป็นผู้ถูกกระทำ ข้าพเจ้าขอไม่จองเวร ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ ก็ขออโหสิกรรมและขออุทิศส่วนกุศลให้”
ไม่ใช่เฉพาะโยมคนนี้นะคะ ผู้อ่านบางคนที่มีโรคภัยอันหาสาเหตุไม่ได้ รักษาด้วยวิธีการต่างๆ แล้วไม่หาย ก็น่าจะลองใช้วิธีนี้ แม่ชีไม่ได้ปฏิเสธการแพทย์สมัยใหม่หรือตัวยาที่ทันสมัยนะคะ แต่การแพทย์ก็ยังมีแพทย์ทางเลือกเลยค่ะ การบำบัดด้วยการแก้กรรมนี้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งไม่มีความเสีย

.....
จากหนังสือ ชีวิตติดกรรม

Sunday, July 18, 2010

กรรม ๑๒ ระเภท

การเผยแผ่ธรรมทานนี้เป็นการประกอบบุญ-กุศล สนับสนุนให้คนมีสัมมาทิฐิ

ผลบุญกุศลใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานนี้ ขอน้อมถวายแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานนี้ทุกท่านเทอญฯ

(คัดมาจากพระไตรปิฎก)

กรรม ๑๒ ระเภท

กรรมประเภทต่างๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจำแนกกรรม
ไว้ ๑๒ อย่าง คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อโหสิกรรม ๑
อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ ครุกกรรม ๑
พหุลกรรม ๑ ยทาสันนกรรม ๑ กฏัตตาวาปนกรรม ๑ ชนกกรรม ๑
อุปัตถัมภกกรรม ๑ อุปปีฬกกรรม ๑ อุปฆาตกกรรม ๑.

โดยแยกเกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้นดังนี้

๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม

ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม นั้น ให้ผลในอัตภาพนี้ (ชาตินี้) เท่านั้น

๒. อโหสิกรรม

คือ ถึงความเป็นกรรมที่ไม่มีผลกรรมนั้น

๓. อุปปัชชเวทนียกรรม

อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น อำนวยผลในอัตภาพ (ชาติ) ต่อไป แต่ในบรรดากุศล

อกุศลทั้งสองฝ่ายนี้ อุปปัชชเวทนียกรรม ในฝ่ายที่เป็นกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งสมาบัติ ๘ ในฝ่ายที่เป็นอกุศล พึงทราบด้วยสามารถแห่งอนันตริยกรรม ๕

บรรดากรรมทั้งสองฝ่ายนั้น ผู้ที่ได้สมาบัติ ๘ จะเกิดในพรหมโลก ด้วยสมาบัติอย่างหนึ่ง. ฝ่ายผู้กระทำอนันตริยกรรม ๕ จะบังเกิดในนรกด้วยกรรมอย่างหนึ่ง. สมาบัติที่เหลือ และกรรม (ที่เหลือ) จะถึงความเป็นอโหสิกรรมไปหมด คือ เป็นกรรม ที่ไม่มีวิบาก.

๔. อปรปริยายเวทนียกรรม

ชื่อว่าอปรปริยายเวทนียกรรม.นั้นได้โอกาสเมื่อใดในอนาคตกาลเมื่อนั้นจะให้ผลเมื่อความเป็นไปแห่งสังสารวัฏฏะยังมีอยู่ กรรมนั้นจะชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มี.

กรรมทั้งหมดนั้นแสดงด้วย (เรื่อง) พรานสุนัข.

เปรียบเหมือนสุนัขที่นายพรานเนื้อปล่อยไป เพราะเห็นเนื้อ จึงวิ่งตามเนื้อไป ทันเข้าในที่ใดก็จะกัดเอาในที่นั้นแหละ ฉันใด กรรมนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้โอกาสในที่ใด ก็จะอำนวยผล ในที่นั้นทันที. ขึ้นชื่อว่าสัตว์ จะรอดพ้นไปจากกรรมนั้น เป็นไม่มี.

๕. ชนกกรรม

กรรมที่ให้เกิดปฏิสนธิอย่างเดียว หรือกรรมที่นำให้เกิด ไม่ให้เกิดปวัตติกาล (ขณะปัจจุบัน) กรรมอื่นย่อมให้เกิดวิบาก ในปวัตติกาล ชื่อว่า ชนกกรรม อุปมา เสมือนหนึ่งว่า มารดาให้กำเนิดอย่างเดียว ส่วนพี่เลี้ยง นางนมประคบประหงมฉันใด ชนกกรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน ให้เกิดปฏิสนธิเหมือนมารดา (ส่วน) กรรมที่มาประจวบเข้าใน ปวัตติกาล เหมือนพี่เลี้ยงนางนม.

๖. อุปัตถัมภกรรม

ธรรมดาอุปัตถัมภกรรม มีได้ทั้งในกุศล ทั้งในอกุศล เพราะว่า บางคนกระทำกุศลกรรมแล้วเกิดในสุคติภพเขาดำรงอยู่ในสุคติภพนั้นแล้วบำเพ็ญกุศลบ่อยๆ สนับสนุนกรรมนั้นย่อมท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั่นแหละตลอดเวลาหลายพันปี. บางคนกระทำอกุศลกรรมแล้วเกิดในทุคติภพ เขาดำรงอยู่ในทุคตินั้น กระทำอกุศลกรรมบ่อยๆ สนับสนุนกรรมนั้นแล้ว จะท่องเที่ยวไปในทุคติภพนั้นแหละ สิ้นเวลาหลายพันปี. อีกนัยหนึ่งควรทราบดังนี้ ทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม ชื่อว่าเป็นชนกกรรม. ชนกกรรมนั้นให้เกิดวิบากขันธ์ทั้งที่เป็นรูปและอรูป ทั้งในปฏิสนธิกาล ทั้งในปวัตติกาล.

ส่วนอุปัตถัมภกกรรม ไม่สามารถให้เกิดวิบากได้ แต่จะสนับสนุนสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะวิบาก ที่ไม่เกิดปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว ย่อมเป็นไปตลอดกาลนาน.

๗. อุปปีฬกกรรม

กรรมที่เบียดเบียน บีบคั้นสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นในเพราะวิบากที่ให้เกิดปฏิสนธิ ที่กรรมอื่นให้ผลแล้ว จะไม่ให้ (สุขหรือทุกข์นั้น) เป็นไปตลอดกาลนาน ชื่อว่าอุปปีฬกกรรม.

ในอุปปีฬกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้. เมื่อกุศลกรรมกำลังให้ผลอกุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้ (โอกาส) กุศลกรรมนั้นให้ผล. แม้เมื่ออกุศลกรรมนั้นกำลังให้ผลอยู่ กุศลกรรมจะเป็นอุปปีฬกกรรมไม่ให้(โอกาส) อกุศลกรรมนั้นให้ผล. ต้นไม้ กอไม้ หรือเถาวัลย์ ที่กำลังเจริญงอกงามใครคนใดคนหนึ่งเอาไม้มาทุบ หรือเอาศาสตรามาตัด เมื่อเป็นเช่นนั้นต้นไม้กอไม้หรือเถาวัลย์นั้นจะต้องไม่เจริญงอกงามขึ้นฉันใด กุศลกรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อกำลังให้ผล (แต่ถูก) อกุศลกรรมเบียดเบียน หรือว่าอกุศลกรรมกำลังให้ผล (แต่ถูก) กุศลกรรมบีบคั้นจะไม่สามารถให้ผลได้. ในสองอย่างนั้น อกุศลกรรม (ชื่อว่า) เบียดเบียนกุศลกรรม กุศลกรรม (ชื่อว่า) เบียดเบียนอกุศลกรรม.

ตัวอย่าง เรื่องเพชฌฆาต ชื่อตาวกาฬกะ

เล่ากันว่า ในกรุงราชคฤห์ นายตาวกาฬกะ กระทำโจรฆาตกรรม (ประหารชีวิตโจร) มาเป็นเวลา ๕๐ ปี. ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายได้กราบทูลเขาต่อพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพนายตาวกาฬกะแก่แล้วไม่สามารถจะประหารชีวิตโจรไดพระราชา รับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงปลดเขาออกจากตำแหน่งนั้น. อำมาตย์ทั้งหลายปลดเขาออกแล้ว แต่งตั้งคนอื่นแทน. ฝ่ายนายตาวกาฬกะ ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น (เป็นเพชฌฆาต)ไม่เคยนุ่งผ้าใหม่ ไม่ได้ทัดทรงของหอมและดอกไม้ ไม่ได้บริโภคข้าวปายาส ไม่ได้รับการอบอาบ. เขาคิดว่า เราอยู่โดยเพศของผู้เศร้าหมองมานานแล้ว จึงสั่งภรรยาให้หุงข้าวปายาส ให้นำเครื่องสัมภาระสำหรับอาบไปยังท่าน้ำดำเกล้า และนุ่งผ้าใหม่ ลูบไล้ของหอม ทัดดอกไม้ กำลังเดินมาบ้าน เห็นพระสารีบุตรเถระ ดีใจว่า เราจะได้พ้นจากกรรมที่เศร้าหมอง และได้พบพระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย จึงนำพระเถระไปยังเรือน แล้วอังคาส(ประเคน) ด้วยข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส เนยข้น และผงน้ำตาลกรวด. พระเถระได้อนุโมทนาของเขา. เขาได้ฟังอนุโมทนาแล้ว กลับได้อนุโลมิกขันติ ตามส่ง พระเถระแล้วเดินกลับในระหว่างทางถูกโคแม่ลูกอ่อนขวิด ให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วไปเกิดในดาวดึงส์พิภพ.

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระตถาคตว่า พระพุทธเจ้าข้า วันนี้เอง นายโจรฆาตอันพระสารีบุตรเถระช่วยนำออกจากกรรมที่เศร้าหมองถึงแก่กรรมแล้วในวันนี้เหมือนกัน เขาเกิดในที่ไหนหนอ.

พ. ในดาวดึงส์พิภพ ภิกษุทั้งหลาย.

ภิ. พระพุทธเจ้าข้า นายโจรฆาตฆ่าคนมาเป็นเวลานาน และพระองค์ก็ตรัสสอนไว้อย่างนี้ บาปกรรมไม่มีผลหรือ อย่างไรหนอ.

พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวเช่นนั้น นายโจรฆาตได้กัลยาณมิตรผู้มีกำลังเป็นอุปนิสัยปัจจัยถวายบิณฑบาตแก่พระธรรมเสนาบดีฟังอนุโมทนากถาแล้ว

กลับได้อนุโลมขันติ จึงได้บังเกิดในที่นั้น.นายโจรฆาต ได้ฟังคำเป็นสุภาษิตในเมืองแล้วได้อนุโลมขันติบันเทิงใจ ไปเกิดในไตรเทพ.

๘. อุปฆาตกกรรม

ส่วนอุปฆาตกกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง ที่เป็นอกุศลบ้าง มีอยู่เอง จะตัดรอนกรรมอื่น ที่มีกำลังเพลากว่า ห้ามวิบากของกรรมนั้นไว้แล้วทำโอกาสแก่วิบากของตน. ก็เมื่อกรรมทำ (ให้) โอกาสอย่างนี้แล้ว กรรมนั้นเรียกว่า เผล็ดผลแล้ว. อุปฆาตกกรรมนี้นั่นแหละ มีชื่อว่าอุปัจเฉทกกรรมบ้าง.

ในอุปัจเฉทกกรรมนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ ในเวลาที่กุศลกรรมให้ผลอกุศลกรรมอย่างหนึ่งจะตั้งขึ้นตัดรอนกรรมนั้นให้ตกไป ถึงในเวลาที่อกุศลกรรมให้ผล กุศลกรรมอย่างหนึ่งก็จะตั้งขึ้น ตัดรอนกรรมนั้นแล้วให้ตกไป. นี้ชื่อว่า อุปัจเฉทกกรรม.

๙. ครุกกรรม

ส่วนในบรรดากรรมหนักและกรรมไม่หนักทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลกรรมใดหนัก กรรมนั้นชื่อว่า ครุกกรรม. ครุกกรรมนี้นั้น ในฝ่ายกุศลพึงทราบว่าได้แก่ มหัคคตกรรม ในฝ่ายอกุศล พึงทราบว่าได้แก่ อนันตริยกรรม ๕.

เมื่อครุกกรรมนั้นมีอยู่ กุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เหลือจะไม่สามารถให้ผลได้.

ครุกกรรมแม้ทั้งสองอย่างนั้นแหละจะให้ปฏิสนธิ.

อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ก้อนกรวดหรือก้อนเหล็ก แม้ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่โยนลงห้วงน้ำ ย่อมไม่สามารถจะลอยขึ้นเหนือน้ำได้ จะจมลงใต้น้ำอย่างเดียว ฉันใด ในกุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กรรมฝ่ายใดหนัก เขาจะถือเอากรรมฝ่ายนั้นแหละไป.

๑๐. พหุลกรรม (อาจิณกรรม)

ส่วนในกุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดมาก กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม. พหุลกรรมนั้นพึงทราบด้วยอำนาจ อาเสวนะที่ได้แล้วตลอดกาลนาน

อีกอย่างหนึ่ง ในฝ่ายกุศลกรรมกรรมใดที่มีกำลังสร้างโสมนัสให้ ในฝ่ายอกุศลกรรมสร้างความเดือดร้อนให้ กรรมนั้นชื่อว่า พหุลกรรม. อุปมาเสมือนหนึ่งว่า เมื่อนักมวยปล้ำ ๒ คนขึ้นเวที คนใดมีกำลังมาก คนนั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม (แพ้) ไปฉันใด พหุลกรรมนี้นั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะทับถมกรรมพวกนี้ที่มีกำลังน้อย (ชนะ) ไป.

กรรมใดมากโดยการเสพจนคุ้นหรือมีกำลังโดยอำนาจ กรรมนั้นจะให้ผล เหมือนกรรมของพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ฉะนั้น.

ตัวอย่างเรื่องพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย เล่ากันมาว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น รบพ่ายแพ้ในจูฬังคณิยยุทธ์ ทรงควบม้าหนีไป. มหาดเล็กชื่อว่า ติสสะอำมาตย์ของพระองค์ ตามเสด็จไปได้คนเดียวเท่านั้น. ท้าวเธอเสด็จเข้าสู่ดงแห่งหนึ่งประทับนั่งแล้ว เมื่อถูกความหิวเบียดเบียน จึงรับสั่งว่า “พี่ติสสะ เราสองคนหิวเหลือเกิน จะทำอย่างไร?”

“มีอาหารพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ได้นำพระกระยาหารใส่ขันทองใบหนึ่ง ซ่อนไว้ในระหว่างผ้าสาฎกมาด้วยพระเจ้าข้า.”

“ถ้าอย่างนั้นจงนำมา”.

เขาจึงนำพระกระยาหารออกมาวางตรงพระพักตร์พระราชา.ท้าวเธอทรงเห็นแล้วตรัสว่า “จงแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน ซิพ่อคุณ”.

เขาทูลถามว่า “พวกเรามี ๓ คน เหตุไฉน พระองค์จึงให้จัดเป็น ๔ ส่วน”.

“พี่ติสสะ เวลาที่เรานึกถึงตัวเราไม่เคยบริโภคอาหาร ที่ยังไม่ได้ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าก่อนเลย ถึงวันนี้ เราก็จักไม่ยอมบริโภค โดยยังไม่ได้ถวายอาหารแก่พระผู้เป็นเจ้า”.

เขาจึงจัดแบ่งอาหารออกเป็น ๔ ส่วน.

พระราชาทรงรับสั่งว่า “ท่านจงประกาศเวลา. ในป่าร้าง เราจักได้พระคุณเจ้าที่ไหน พระพุทธเจ้าข้า.

ข้อนี้ไม่ใช่หน้าที่ของท่านถ้าศรัทธาของเรายังมี เราจักได้พระคุณเจ้าเอง ท่านจงวางใจ แล้วประกาศเวลาเถิด”.

เขาจึงประกาศถึง ๓ ครั้งว่า “ได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้าได้เวลาอาหารแล้ว ขอรับพระคุณเจ้า”.

ลำดับนั้น พระโพธิยมาลกมหาติสสเถระ ได้ยินเสียงนั้นด้วย

ทิพพโสตธาตุรำพึงว่า เสียงนี้ที่ไหน? จึงรู้ว่า วันนี้พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย แพ้สงครามเสด็จเข้าสู่ดงดิบ ประทับนั่งแล้ว ให้แบ่งข้าวขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน ทรงรำพึงว่าเราจักบริโภคเพียงส่วนเดียวจึงให้ประกาศเวลา (ภัตร)คิดว่าวันนี้เราควรทำกาสงเคราะห์พระราชา แล้วมาโดยมโนคติ ได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงมีพระทัยเลื่อมใส รับสั่งว่า “เห็นไหมเล่าพี่ติสสะ” ดังนี้ ไหว้พระเถระแล้ว ตรัสว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้บาตร”

พระเถระนำบาตรออกแล้ว

พระราชาทรงเทอาหารส่วนของพระเถระ พร้อมส่วนของพระองค์ลงในบาตรแล้วตรัสว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญขึ้นชื่อว่าความลำบากด้วยอาหาร จงอย่ามีในกาลไหนๆ” ทรงรับไว้แล้วประทับยืนอยู่.

ฝ่ายติสสะอมาตย์ คิดว่า เมื่อพระลูกเจ้าของเราทอดพระเนตรอยู่ เราจักไม่สามารถบริโภคได้ จึงได้เทส่วนของตนลงไปในบาตรพระเถระเหมือนกัน. ถึงม้าคิดว่า ถึงเราก็ควรถวายส่วนของเราแก่พระเถระ.

พระราชาทอดพระเนตรดูม้าแล้วทรงทราบว่า ถึงม้านี้ก็ประสงค์จะใส่ส่วนของตนลงในบาตรของพระเถระเหมือนกัน จึงได้เทส่วนม้านั้นลงในบาตรนั้นเหมือนกัน ไหว้แล้วส่งพระเถระไป

พระเถระถือเอาภัตรนั้นไป แล้วได้ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ต้นโดยแบ่งปั้นเป็นคำๆ .

แม้พระราชาทรงพระดำริว่า “พวกเราหิวเหลือเกินแล้ว จะพึงเป็นการดีมาก ถ้าหากพระเถระจะส่งอาหารที่เหลือมาให้”.

พระเถระรู้พระราชดำริของพระราชาแล้วจึงทำภัตรที่เหลือให้พอเพียงแก่คนเหล่านั้น จะดำรงชีวิตอยู่ได้จึงโยนบาตรไปในอากาศ. บาตรมาวางอยู่ที่พระหัตถ์ของของพระราชาแล้ว. แม้อาหารก็พอที่คนทั้ง ๓ จะดำรงชีพอยู่ได้.

ลำดับนั้น พระราชาทรงล้างบาตรแล้ว ทรงดำริว่า เราจักไม่ส่งบาตรเปล่าไป จึงทรงเปลื้องพระภูษาชุบน้ำแล้ววางผ้าไว้ในบาตร ทรงอธิษฐานว่า ขอบาตรจงประดิษฐานอยู่ในมือแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วทรงโยนบาตรไปในอากาศ. บาตรไปประดิษฐาน อยู่ในมือพระเถระแล้ว.

ในเวลาต่อมา เมื่อพระราชาให้ทรงสร้างมหาเจดีย์ สูง ๑๒๐ ศอก บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่ ๘ แห่งพระตถาคตเจ้าไว้ เมื่อพระเจดีย์ยังไม่ทันเสร็จ ก็ได้เวลาใกล้สวรรคต.

ลำดับนั้น เมื่อพระภิกษุสงฆ์สาธยายโดยนิกายทั้ง ๕ ถวายพระองค์ผู้บรรทมอยู่ข้างด้านทิศใต้แห่งมหาเจดีย์ รถ ๖ คัน จากเทวโลก ๖ ชั้น จอดเรียงรายอยู่ในอากาศ เบื้องพระพักตร์ของพระราชา.

พระราชาทรงรับสั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงนำสมุดบันทึกการทำบุญมา” แล้วรับสั่งให้อ่านสมุดนั้นมาแต่ต้น. ครั้นไม่มีกรรมอะไรที่จะให้พระองค์ประทับพระทัย. จึงตรัสสั่งว่า จงอ่านต่อไปอีก.

คนอ่าน อ่านต่อไปว่า “ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ผู้ปราชัยในจุลลังคณิยยุทธสงคราม เสด็จเข้าดงประทับนั่ง ถวายภักษาแก่ท่านพระโพธิมาลกมหาติสสเถระ โดยทรงแบ่งพระกระยาหารขันเดียวออกเป็น ๔ ส่วน.”

พระราชารับสั่งให้หยุดอ่าน แล้วซักถามภิกษุสงฆ์ว่า “พระคุณเจ้าข้า เทวโลกชั้นไหนเป็นรมณียสถาน.”

ภิกษุสงฆ์ถวายพระพรว่า “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ดุสิตพิภพ เป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์.”

พระราชาสวรรคตแล้ว ประทับนั่งบนราชรถที่มาแล้วจากดุสิตพิภพนั่นแหละ ได้เสด็จถึงดุสิตพิภพแล้ว.

นี้เป็นเรื่อง (แสดงให้เห็น) ในการให้วิบากของกรรมที่มีกำลัง.

๑๑. ยทาสันนกรรม (อาสันนกรรม)

ส่วนในบรรดากุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลาย กรรมใดสามารถ เพื่อจะให้ระลึกถึงในเวลาใกล้ตาย กรรมนั้น ชื่อว่า ยทาสันนกรรม. (อาสันนกรรม)

ยทาสันนกรรม (อาสันนกรรม) นั่นแหละ เมื่อกุศลกรรม และอกุศลกรรมเหล่าอื่น ถึงจะมีอยู่ก็ให้ผล (ก่อน) เพราะอยู่ใกล้มรณกาล

เหมือนเมื่อเปิดประตูคอก ที่มีฝูงโคเต็มคอก บรรดาโคฝึก และโคมีกำลัง ถึงจะอยู่ในส่วนอื่น (ไกลปากคอก) โคตัวใดอยู่ใกล้ประตูคอก โดยที่สุด จะเป็นโคแก่ถอยกำลังก็ตาม โคตัวนั้นก็ย่อมออกได้ก่อนอยู่นั่นเอง ฉะนั้น. ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง

ตัวอย่าง เรื่องคนเฝ้าประตูชาวทมิฬ

เล่ากันมาว่า ในบ้านมธุอังคณะ มีนายประตูชาวทมิฬคนหนึ่งถือเอาเบ็ดไปแต่เช้า ตกปลาได้แล้วแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนหนึ่งเอาแลกข้าวสาร ส่วนหนึ่งแลกนม ส่วนหนึ่งต้มแกงกิน. โดยทำนองนี้ เขาทำปาณาติบาตอยู่ถึง ๕๐ ปี ต่อมาแก่ตัวลง ล้มหมอนนอนเสื่อ.

ในขณะนั้น พระจุลลปิณฑปาติกติสสเถระ ชาวคิรีวิหาร รำพึงว่า

“คนผู้นี้ เมื่อเรายังเห็นอยู่อย่าพินาศเสียเลย” แล้วไปยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเขา.

ขณะนั้นภริยาของเขาจึงบอกว่า นี่ ! พระเถระมาโปรดแล้ว

เขาตอบว่า “ตลอดเวลา ๕๐ ปี เราไม่เคยไปสำนักของพระเถระเลย คุณความดีอะไรของเรา ท่านจึงต้องมา เธอจงไปนิมนต์ให้ท่านไปเสียเถิด”

นางบอกพระเถระว่า “นิมนต์ไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า”

พระเถระถามว่า “อุบาสกมีพฤติการทางร่างกายอย่างไร.”

นางตอบว่า “อ่อนแรงแล้ว เจ้าข้า”.

พระเถระเข้าไปยังเรือนให้สติ แล้วกล่าวว่า “โยมรับศีล (ไหม).”

เขาตอบว่า “รับขอรับพระคุณเจ้า นิมนต์ให้ศีลเถิด”.

พระเถระให้สรณะ ๓ แล้ว เริ่มจะให้ศีล ๕.

ในขณะที่อุบาสกนั้นว่า ปญฺจสีลานิ นั่นแหละ ลิ้นแข็งเสียแล้ว.

พระเถระคิดว่า เท่านี้ก็พอควร แล้วออกไป.

ส่วนเขาตายแล้วไปเกิดในภพจาตุมหาราชิกะ. ก็ในขณะที่เขาเกิดนั่นแหละ รำลึกว่า เราทำกรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ รู้ว่าได้เพราะอาศัยพระเถระ จึงมาจากเทวโลก

ไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง

เมื่อพระเถระถามว่า “นั่นใคร”

ตอบว่า “กระผม (คือ) คนเฝ้าประตูชาวทมิฬครับพระคุณเจ้า”.

พระเถระถามว่า “ท่านไปเกิดที่ไหน”

ตอบว่า “ผมเกิดที่ชั้นจาตุมหาราชิกภพ ครับพระคุณเจ้า”

ถ้าหากพระคุณเจ้าได้ให้ศีล๕แล้วไซร้ ผมคงได้เกิดในชั้นสูงขึ้นไป ผมจักทำอย่างไร

พระเถระตอบว่า “ดูก่อน (เทพ) บุตร ท่านไม่สามารถจะรับเอาได้เอง” เทพบุตรไหว้พระเถระแล้ว กลับไปยังเทวโลก. นี้เป็นเรื่อง (ตัวอย่าง) ในกุศลกรรมก่อน.

ตัวอย่าง เรื่องมหาวาตกาลอุบาสก

ก็ในระหว่างแม่น้ำคงคา ได้มีอุบาสกชื่อว่า มหาวาตกาละ. เขาสาธยายอาการ ๓๒ เพื่อมุ่งโสดาปัตติมรรคถึง ๓๐ ปี ถึงทิฎฐิวิปลาสว่า เราสาธยายอาการ ๓๒ อยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้เกิดแม้เพียงโอภาสได้ชะรอยพระพุทธศาสนาจักไม่เป็นศาสนาเครื่องนำสัตว์ออกจากภพ (เป็นแน่) กระทำกาลกิริยาแล้วได้ไปเกิดเป็นลูกจระเข้ยาว ๙ อุสภะ ที่แม่น้ำมหาคงคา.

คราวหนึ่ง เกวียนบรรทุกเสาหิน ๖๐ เล่ม เดินทางไปตามท่ากัจฉปะ. จระเข้นั้นฮุบกินทั้งโคทั้งหินเหล่านั้นจนหมดสิ้น. นี้เป็นเรื่อง (ตัวอย่าง) ในอกุศลกรรม.

๑๒. กฏัตตาวาปนกรรม

กฏัตตาวาปนกรรมนั้น อำนวยวิบากได้ในกาลบางครั้ง เหมือนท่อนไม้ที่คนบ้าขว้างไป จะตกไปในที่ๆ ไม่มีจุดหมายฉะนั้น.

เป็นอันท่านจำแนกกรรม ๑๒ อย่าง ตามสุตตันติกปริยาย.

เวรกรรม ของเศรษฐี

เวรกรรม ของเศรษฐี

ในตลาดไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่รู้จัก เถ้าแก่ " ตั๋ง " เพราะแกเป็นผู้บุกเบิกตลาดแห่งนี้เป็นคนแรก แกขายทุกอย่างที่จะขายได้ ตั้งแต่ กาแฟ ไข่ลวก บุหรี่ สุรา ไปจนถึง ปะยาง รถจักรยายยนต์ พอมีเงิน เก็บหอมรอมริบก็ซื้อที่ทางไว้

กระทั้งเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เถ้าแก่ตั๋ง ก็เป็นเจ้าของตลาดเต็มตัว มีแผงให้เช่าโดยไม่ต้องขายเหมือนก่อนหน้าที่แกก็ คือเดินตรวจตลาด เก็บค่าเช่าอย่างชนิดไม่ขาดไม่เกิน

" อั้วไม่ล่ายสร้างตลาด มาให้พวกลื้อติดค่าเช่าน้ะ ให้ลู้ซะล่วย " เป็นคำพูดที่เถ้าแกชอบพูดดัง ๆ เป็นการกึ่งประจานเวลาแผงไหนผลัดค่าเช่าแก

ใคร ๆ ก็รู้จักเถ้าแก่ตั๋ง เพราะแกจะวางท่ายิ่งใหญ่ไม่รู้จักใคร หรือถ้าใครเดินเข้าตลาดแล้วไม่ซื้อของแก ก็จะเดินไปด่าเขาทำตัวเป็นที่อิดหนา ระอาใจกับคนในตลาดนั้น ถ้าย้ายได้ก็ย้ายหนีไป ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องทนรับสภาพไป

หลายปีผ่านมา เถ้าแก่ตั๋ง ได้ขยายครอบครัวกลายเป็น ตระกูลห้าพยางค์ อันยิ่งใหญ่ขยายกิจการใหญ่โต ประกอบกับตัวเถ้าแก่เริ่มแก่ชราหน้าที่เก็บค่าเช่า และดูแลผลประโยชน์ก็ตกมาถึงลูกหลาน ที่เจริญรอยตามเถ้าแก่ ตั๋ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกหลานเติบโต แบ่งแยกครอบครัวกันออกไป เถ้าแก่ที่เคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่ ก็เหมือนคนแก่คนหนึ่งภายในบ้าน ไม่ได้รับความสนใจจากลูกหลาน เรียกว่าถูกทอดทิ้งก็ว่าได้

หลังจากมีการแบ่ง มรดก ให้ลูกหลานเป็นที่เรียบร้อย เถ้าแก่ตั๋ง ก็ถูกส่งไป บ้านพักคนชรา โดยลูกหลานปล่อยอย่างไม่ใยดี แม้ตัวแกจะห่วงตลาดเก่าที่สร้างมากับมือ แต่ร่างกายก็ซูบซีดผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดราศีความเป็นเถ้าแก่ ชีวิตต้องนั่งรถเข็นอย่างหมดสภาพ

วันหนึ่งขณะที่ตลาดจอแจด้วยผู้คนไปมา ชายชราคนหนึ่ง สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจาก ขอทาน เสื้อผ้าขาดวิ่น แขนขาลีบเรียว จนต้องนอนหมอบกับพื้นสกปรก ที่ตลาดแห่งนั้น แล้วเจ้าเด็กน้อย ๒ คน ที่มองดูชายชราตามประสาเด็ก พลางล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญสตางค์หย่อนลง กระป๋องแล้วพูดว่า

" ตาออกไปขอทานที่อื่นเถอะเดี๋ยวเตี่ยมาเห็นจะโดนไล่หรอก เตี๋ยบอกว่าเมื่อตอนก๋งอยู่ ก๋งไม่ชอบให้ขอทานมาอยู่ในตลาด "

เจ้าเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้หรอกว่า ขอทานผู้นั้นคือ เถ้าแก่ตั๋งหรือก๋งคนที่แกพูดถึง และแกก็ยังห่วงตลาดที่แกสร้างมากับมือ

ที่มา
http://www.watkoh.com

กฏแห่งกรรม : ตอน...ข้าวต้มลูกหมา

กฏแห่งกรรม : ตอน...ข้าวต้มลูกหมา

..............................................

เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมที่ต้องชดใช้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังที่โบราณกล่าวไว้ว่าภายใน 3 วัน 7 วัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว !!

เรื่องนี้ ท่านดร.พระราชวรมุนี รองเจ้าคณะภาค 17 และรองเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม กทม. ได้นำมาเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเล่าว่า วันหนึ่งท่าน ได้รับนิมนต์ให้ไปสวดศพแม่ครัวที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม่ครัวคนนี้ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุที่ ไม่น่าเชื่อ คือตกหม้อข้าวต้มตาย แล้วท่านเจ้าคุณก็ขยายความต่อไปว่า แม่ครัวผู้นี้เป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง เธอเป็นแม่ครัวรับจ้างทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพที่วัดแห่งนี้แบบผูกขาดมานานจนร่ำรวย สามารถส่งเสียลูกๆ เรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ดีไปหลายคน

กรรมที่ทำให้เธอต้องมาพบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายนั้น เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง แม่ครัวผู้นี้เห็นว่า เนื้อหมูจำนวนมากที่นำมาสับ เพื่อเตรียมทำข้าวต้มหมูเลี้ยงแขกที่มาในงานศพนั้น หายไปอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่เพิ่งสับเสร็จไม่นาน แค่หันไปหยิบเครื่องปรุง หรือไปทำอย่างอื่นแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พอหันกลับมาอีกครั้ง เพื่อจะนำเนื้อหมูที่สับวางทิ้งไว้บนเขียงใส่ลงหม้อข้าวต้ม ปรากฏว่าเนื้อหมูอันตรธานหายไปหมด โดยไม่มีร่องรอย พอถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง เพราะต่างก็วุ่นกับงานของตัวเอง แรกๆ เธอก็คิดว่าไม่เป็นไร แต่ครั้นเป็นอย่างนี้ติดต่อกันบ่อยครั้งเข้าใน ทุกครั้งที่เผลอ เธอจึงอดรนทนไม่ได้ ดังนั้นจึงได้วาง แผนที่จะจับเจ้าขโมยตัวดี

เธอทำทีเป็นสับเนื้อหมูวางไว้บนเขียงไม้เหมือนเดิม แล้วก็แสร้งหันไปทำอย่างอื่นเหมือนเคย แต่ทว่าตาคอยแอบจับจ้องอยู่ที่เขียงไม้ตลอดเวลา ทันใดนั้นก็มีลูกสุนัขผอมโซตัวหนึ่ง ซึ่งแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำกับข้าวนั่นเอง ปีนขึ้นมากินเนื้อหมูสับจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็กระโดดวิ่งหนีไป เมื่อเห็นว่าเจ้าหัวขโมยเป็นลูกสุนัข เธอจึงรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงได้วางแผนที่จะจัดการเจ้าลูกสุนัขตัวนี้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้นเธอก็ทำทีสับเนื้อหมูทิ้งไว้บนเขียงไม้เหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้เธอไม่ได้วางเขียงไม้ไว้ที่เดิม แต่กลับนำเขียงไม้ไปพาดกับปากหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ อยู่ แล้วเอาปลายไม้ข้างหนึ่งพาดหมิ่นๆ ไว้ที่ปากหม้อข้าว

จากนั้นเธอจึงเดินออกไปแอบดูอยู่ใกล้ๆ ฝ่ายเจ้าลูกสุนัขเมื่อเห็นไม่มีคนอยู่ตรงนั้น มันจึงกระโดดเต็มแรงเพื่อขึ้นมากินเนื้อหมูสับอย่างเคย แต่ทว่าปลายไม้ที่วางหมิ่นๆ พาดกับปากหม้อข้าวไว้นั้นได้กระดกขึ้นมา ทำให้เจ้าลูกสุนัขตกลงไปในหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพลั่กๆ ทันที ผลคือตายคาที่ โดยไม่มีโอกาสได้ร้องเลยสักแอะเดียว อนิจจา..เจ้าหมาน้อย

เมื่อจัดการกับเจ้าลูกสุนัขได้แล้ว เธอก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมาก เพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเนื้อหมูสับจะหายไปอีก เพียงไม่กี่วันเธอก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท ประกอบกับหลังจากนั้นไม่มีงานศพที่วัด เธอจึงไม่มีงานที่ต้องมาทำอาหารเลี้ยงแขก

เวลาผ่านไป 7 วัน ครบวันที่ลูกสุนัขตายพอดี วันนั้นเผอิญมีงานศพที่วัด แม่ครัวคนนี้ก็เข้าไปรับงานจัดเลี้ยงเหมือนเดิม วันนั้นเป็นวันแรกของงานศพ เธอจึงได้ต้มข้าวต้มหมูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ขณะที่ข้าวต้มกำลังเดือดพลั่กๆ อยู่นั้น เธอก็บอกคนงานให้มาช่วยยกหม้อข้าวลงจากเตาไฟ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หูหิ้วหม้อข้าวต้มข้างที่เธอถือนั้นเกิดหักหลุดจากมือ ตัวเธอจึงถลำลื่น หัวทิ่มลงไปในหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ นั้น ตายทันที โดยไม่ทันได้ร้องสักแอะเดียว เป็นชะตากรรมเดียวกับที่เธอทำกับเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน !!

ชะรอยลูกสุนัขกับแม่ครัวคนนี้คงจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาหลายภพหลายชาติ ผูกพยาบาทอาฆาตกันไม่จบสิ้น ในชาตินี้จึงมาสร้างกรรม ทำเวรซึ่งกันและกันเพิ่มเข้าไปอีก

ผู้เขียนขอย้ำว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง เป็นจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่คาดฝัน สุดแท้แต่ว่าจะให้อโหสิกรรมต่อกัน เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันและกันหรือไม่ หากไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน 4 ก็จะไม่รู้ซึ้งถึงกฏแห่งกรรม จะไม่รู้ถึงการให้อภัยทาน การเลิกอาฆาตพยาบาทกันและกัน กฏแห่งกรรมนั้นนอกจากจะมีจริง เป็นจริงแล้ว ยัง เกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่อีกด้วย

ดังนั้นคงไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับความมีเมตตา ให้อภัยต่อกัน ไม่ว่ากับคนด้วยกัน หรือกับสรรพสัตว์ เพราะต่างก็มีชีวิต มีความรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหมือนๆ กัน

..............................................

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 กุมภาพันธ์ 2548 14:35 น.

หมอไร้คุณธรรม

หมอไร้คุณธรรม


มีอยู่วันหนึ่ง คุณไป่เปี่ยวขับรถส่วนตัวเดินทางไปพิษณุโลก เป็นเส้นทางสู่ทางเหนือ ทุกๆ เดือน คุณไป่เปี่ยวจะต้องเดินทางไปพิษณุโลก เมื่อรถแล่นผ่านปากน้ำโพบนถนนหลวง ก็มีอุบัติเหตุรถชนกัน ระหว่างรถจักรยานยนต์ 2 คันชนกัน คันหนึ่งมี 3 คน อีกคันมี 2 คน ทั้งหมด 5 คน 1 ใน 5 คน มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาโบกรถเพื่อขอความช่วยเหลือ นอกนั้นนอนระเนระนาดอยู่กับพื้น รถวิ่งผ่านไปมาหลายคัน แต่ไม่มีคันไหนจอดเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ ซึ่งมีผู้หญิง 3 คน 2 คนขาขาด อีกคนหนึ่งหน้าถลอกเลือดไหลไม่หยุด

ส่วนผู้ชายอีกคนนอนอยู่กลางถนนไม่ไหวติง ต่อมาก็มีคนมามุงดูมากมาย คุณไป่เปี่ยวเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงถามว่า "แถวนี้มีโรงพยาบาลไหม ?" ชาวบ้านจึงว่า "ต้องนั่งรถไปอีก 20 กว่ากิโลจะมีโรงพยาบาลเอกชน" โรงพยาบาลนี้มีนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งประจำอยู่ เป็นโรงพยาบาลเปิดใหม่ คุณไป่เปี่ยวจึงคิดว่า รถของตนเองเป็นรถกระบะเล็กนั่งได้เพียง 2 คน ไม่สามารถให้ผู้บาดเจ็บโดยสารไปได้ จึงได้โบกรถคันอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือ บังเอิญโชคดีมีรถกระบะคันหนึ่งแล่นผ่านมา คุณไป่เปี่ยวจึงขอความช่วยเหลือโดยให้ชาวบ้านหลายๆ คน ช่วยกันอุ้มคนเจ็บขึ้นรถ และขอให้ไปส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ไม่เจอหมอ เจอแต่นางพยาบาลอยู่หลายคน คุณไป่เปี่ยวจึงรีบขอความช่วยเหลือจากนางพยาบาล พร้อมขอเตียงคนไข้และรถเข็นสำหรับคนเจ็บ นางพยาบาลเข็นมาให้แต่รถส่วนเตียงคนไข้ไม่ได้เข็นมาพร้อมกับพูดว่า "ต้องรอผู้อำนวยการเสียก่อน"

คุณไป่เปี่ยววิ่งเข้าวิ่งออกโดยเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเห็นหมอเดินออกมา เป็นหมอหนุ่มอายุไม่เกิน 30 ปี ดูลักษณะเหมือนหมอห่วงคนเจ็บมาก รีบขึ้นรถดูอาการคนไข้ที่เจ็บมากที่สุดก่อนคือ ผู้ชายที่ลำไส้ใหญ่และอวัยวะภายในทะลักออกมาข้างนอก เมื่อหมอมาถึงก็รีบๆ เอาลำไส้ยัดใส่เข้าไปในท้อง โดยไม่ใส่ใจว่าลำไส้จะเปื้อนดินเปื้อนทรายแค่ไหน

หลังจากนั้นคุณหมอก็พูดกับคุณไป่เปี่ยวว่า "โรงพยาบาลแห่งนี้มีเครื่องมือไม่ครบ หมอแนะนำให้ส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลหลวงเพราะที่นั่นมีเครื่องมือทันสมัย ยังมีคนเจ็บที่เป็นผู้หญิงอีก 2 คนที่ขาขาดควรที่จะส่งไปโรงพยาบาลหลวง" คุณไป่เปี่ยวได้ฟังเช่นนั้นรู้สึกซึ้งในน้ำใจหมอ จึงคิดว่าหมอแนะนำดีและมีเหตุผล

โรงพยาบาลหลวงห่างจากโรงพยาบาลเอกชนประมาณ 70 ถึง 80 กิโล คนขับรถกระบะที่มาส่งคนเจ็บบอกว่า "มีธุระด่วน ไม่สามารถส่งคนเจ็บไปที่โรงพยาบาลหลวงได้" คุณไป่เปี่ยวจึงต้องหารถโดยสารเล็กนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล และยังขอร้องให้นางพยาบาลอีกคนช่วยดูแลคนเจ็บ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลคนเจ็บทุกคนต้องให้น้ำเกลือเสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง คุณไป่เปี่ยวก่อนนำคนเจ็บไปโรงพยาบาลหลวง ยังวานให้เด็ก ล้างรถกระบะที่ติดเลือดออกให้หมด พร้อมทั้งจ่ายค่ารักษาให้หมอ และนึกขอบคุณหมอหนุ่มและนางพยาบาลเหล่านั้น

พอออกจากโรงพยาบาลมามีคนเล่าให้ฟังว่า "ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ใช่ไม่มีเครื่องมือรักษา แต่ในกรณีคนเจ็บที่ประสบอุบัติเหตุ ถึงแม้รักษาก็จะไม่ได้ค่ารักษาใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นโรงพยาบาลเอกชนจึงไม่รับรักษาคนเจ็บ จึงพยายามแนะนำผู้ที่ส่งคนเจ็บมาว่าให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลหลวง"

ความรู้สึกครั้งแรกที่คุณไป่เปี่ยวได้เห็นหมอกุลีกุจอดูแลคนเจ็บ จนเกิดความซึ้งใจเปลี่ยนเป็นความโกรธเคืองว่าหมอคนนี้ไม่มีคุณธรรมไม่มีน้ำใจ ด้วยความโกรธอยากจะเอาแก้วน้ำที่ถืออยู่ในมือสาดใส่หน้าของนางพยาบาลที่ติดตามมาเพื่อเป็นการสั่งสอน แต่คิดไปคิดมาอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ไม่คุ้มเลยที่จะไปมีเรื่องมีราวกับคนที่ไม่มีเมตตาธรรม คนเห็นแก่เงิน ถึงโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจรีบขับรถเดินทางต่อไป โดยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ไม่กี่วันต่อมาคุณไป่เปี่ยวทำธุระที่พิษณุโลก

เสร็จจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ จะต้องผ่านจังหวัดนครสวรรค์อีก คุณไป่เปี่ยวจึงแวะเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า "ผู้หญิงคนที่ขาขาดยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนคนเจ็บ 2 คนกลับบ้านไปแล้ว มีผู้เสียชีวิตคนหนึ่งคือผู้ชายที่ไส้ทะลัก เพราะมาส่งที่โรงพยาบาลช้าเกินไป หมอช่วยไว้ไม่ทัน" พอคุณไป่เปี่ยวได้ฟังหมอพูดเช่นนั้น ก็อดเคืองหมอหน้าเงินคนนั้นอีกไม่ได้ที่ไม่ยอมรักษาคนเจ็บ ถ้าหมอคนนั้นไม่เห็นแก่เงินสักนิดผู้ชายคนนี้อาจจะไม่ตายก็ได้

ต่อมาอีกไม่นานคุณไป่เปี่ยวก็ขับรถคู่ใจคันสีขาวมุ่งสู่จังหวัดพิษณุโลก เป็นเรื่องแปลกและอัศจรรย์จริงๆ เพราะถนนหลวง เส้นทางเดียวกันกับเมื่อครึ่งปีก่อนได้เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน เป็นปีเดียวกันกับที่คุณไป่เปี่ยวช่วยพาหนุ่มสาวเหล่านั้นไปส่งโรงพยาบาล

แต่ว่าวันนี้รถเก๋งชนกับรถบัสใหญ่ ครั้งนี้คุณไป่เปี่ยวได้เห็นรถเก๋งยี่ห้อดังถูกชนจนกระจกหน้ารถแตกย่อยยับ รถบัสใหญ่ก็ถูกชนหงายท้อง มีจราจรมายืนโบกรถให้รถที่แล่นผ่านไปมาขับช้าๆ คุณไป่เปี่ยวจอดรถลงไปดูจึงได้รู้ว่า รถเก๋งคันที่ถูกชนเจ้าของรถคือผู้อำนวยการใหญ่โรงพยาบาลเอกชนแถวนี้ พอคุณไป่เปี่ยวได้รู้เช่นนั้นรู้สึกตกใจมาก ไม่รู้อะไรดลใจให้ไปที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนางพยาบาลบอกว่า

"ผู้อำนวยการประสบอุบัติเหตุรถชนกัน ตอนนี้อาการขั้นโคม่า จะรอดหรือปล่าวก็ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ต้องตัดขาทิ้ง ขณะนี้กำลังรอพี่ชายมาจากในเมืองเพื่อส่งไปรักษาที่กรุงเทพฯ"

พอคุณไป่เปี่ยงได้ฟังเช่นนั้นก็คิดว่า "เรื่องกฏแห่งกรรมนั้นมีจริง" และสนองทันตาเห็น เพราะเมื่อครึ่งปีก่อนมีคนประสบอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้หญิงขาขาด 2 คน ผู้ชายไส้ทะลัก 1 คน หมอไม่รับรักษาให้ เพราะคิดว่าไม่มีค่าตอบแทน

ฉะนั้น เรื่องเล่ากันว่าหมอทุกคนต้องมีวิญญาณผีติดตามตัวตลอดเวลาเป็นเรื่องจริง เพราะหมอที่ไม่มี คุณธรรมเห็นแก่เงินไม่รักษาคนเจ็บ ผลสุดท้ายตัวเองก็ประสพอุบัติเหตุเช่นกัน กรรมจึงตามสนองเหมือนเงาตามตัว



.............................................................

คัดลอกมาจาก
http://www.manager.co.th/Dhamma/

กรรมแห่งความริษยา

กรรมแห่งความริษยา

ความริษยาเกิดจากการขาดมุทิตา (ที่มีลักษณะคือความชื่นชม) หมายความว่า พลอยยินดีในความสุขหรือความสำเร็จของผู้อื่น มุทิตานี้ทำได้ยากกว่ากรุณา บางคนมีเมตตาปรารถนาดี มีความกรุณาสงสาร แต่เจริญมุทิตาไม่ได้ เพราะเราทุกคนมีอนุสัยกิเลสคือความริษยานอนเนืองอยู่ในกระแสจิต น้อยคนนักที่จะกำจัดความริษยานั้นได้

จะต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ จึงจะบรรเทาลงได้ การฝึกฝนนั้นก็ต้องประกอบด้วยโยนิโสมนสิการ คือทำความเข้าใจด้วยเหตุผลว่าความริษยาไม่ก่อให้เกิดคุณใดๆ ผู้มีความริษยานั้นจะได้รับผลคือขาดบริวาร แต่ผู้ที่เจริญมุทิตาโดยกำจัดความริษยาได้ย่อมจะได้รับอานิสงส์คือ มีบริวารห้อมล้อม มีมิตรสหายห้อมล้อม ความริษยานั้นก่อให้เกิดโทษในปัจจุบันและภพต่อไป ไม่ว่าเกิดกับผู้ใดก็ทำให้ผู้นั้นตกต่ำไปตลอด

ยกตัวอย่างกรรมแห่งความริษยาจากพระไตรปิฎก

มีเรื่องเล่าว่าในสมัยพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่งนามว่า “โลสกติสสะ” ตอนท่านถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา บิดามารดาก็ได้รับทุกข์แสนสาหัส บ้านของท่านเกิดไฟไหม้จนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่พวกท่านก็อดทนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่รู้ความ เมื่อเดินไปไหนมาไหนได้ก็ถูกทอดทิ้งเป็นขอทานอยู่ข้างถนน

วันหนึ่งพระสารีบุตรเถระ เห็นเข้าก็สงสาร พระสารีบุตรได้หยั่งรู้ว่าเด็กคนนี้เคยสั่งสมบารมีธรรมมาในชาติปางก่อน จึงได้นำตัวมาวัดแล้วให้บวชเป็นสามเณร ต่อมาท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุชื่อโลสกติสสะ ภายหลังเจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์

ตั้งแต่ท่านเกิดมาจนกระทั่งบรรลุอรหัตผล ไม่เคยกินอิ่มแม้สักวันหนึ่งเลย ทั้งนี้เพราะเวลาที่ท่านบิณฑบาตอยู่ เมื่อคนใส่บาตรท่านแล้วอาหารหายไปเองก็มี หรือแม้จะมีอาหารอยู่พียงเล็กน้อยแต่คนอื่นกลับเห็นอาหารอยู่เต็มบาตรเลยไม่ถวายอีกก็มี ซึ่งอกุศลกรรมนี้เป็นผลของความริษยา

เรื่องราวในอดีตชาติของพระภิกษุชื่อโลสกติสสะ มีว่า สมัยหนึ่งเมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระโลสกติสสะนี้เคยบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นภิกษุผู้ทรงศีล วันหนึ่งพบพระเถระรูปหนึ่งที่เป็นพระอรหันต์เดินทางมาจากแดนไกล พระโลสกติสสะไม่ทราบว่าพระรูปนี้สำเร็จสมณกิจแล้ว ท่านเกรงว่าโยมอุปฏฐากจะเลื่อมใสพระอาคันตุกะรูปใหม่ ด้วยความริษยาจึงแกล้งทำให้พระอาคันตุกะนั้นอดอาหารหนึ่งมื้อ ผลกรรมนี้ส่งผลให้ท่านตกนรกเป็นเวลานาน แล้วมาเกิดเป็นคนที่ไม่เคยกินอิ่มเลย

เมื่อท่านใกล้นิพพาน พระสารีบุตรหยั่งรู้ว่าท่านจะนิพพานในวันนั้น จึงใช้คนนำอาหารไปให้ท่าน เพื่อจะได้ฉันอาหารอิ่มก่อนนิพพาน แต่ด้วยผลกรรมเก่าทำให้คนนำอาหารลืมเสียแล้วเททิ้ง ต่อมาพระสารีบุตรนึกขึ้นได้ให้คนไปถามว่าฉันอาหารหรือยัง ท่านตอบว่าวันนี้ไม่ได้ฉันอะไร พระสารีบุตรจึงนำยาจตุมธุไปให้ท่านฉัน โดยพระสารีบุตรได้จับบาตรไว้ตลอดเวลาที่ท่านฉันอยู่ หากไม่จับไว้ยาจตุมธุอาจหายไปจากบาตรด้วยผลกรรม พระโลสกติสสะฉันอิ่มวันนั้นเพียงวันเดียวแล้วปรินิพพานในวันนั้นเอง

จะเห็นว่าผลของความริษยานั้นส่งผลในปัจจุบันและอนาคต สามารถติดตามให้ผลจนถึงช่วงเวลาที่จะนิพพานอีกด้วย และที่ผลของความริษยาที่เกิดขึ้นกับพระโลสกติสสะอย่างรุนแรง ทำให้ถึงกับตกนรกและมีผลมาจนถึงวันแห่งปรินิพพานนั้น เพราะท่านทำกรรมที่เกิดจากความริษยากับพระอรหันต์นั่นเอง

การทำกรรมไม่ดีกับผู้มีศีล ผู้มีบุญ ผู้มีคุณ ผู้เป็นพระสุปฏิปันโนขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ จึงเป็นบาปมากกว่าผู้ทุศีล ผู้ไม่มีบุญ ผู้ไม่มีคุณ แต่จะทำกรรมไม่ดีกับใครก็ตามเป็นบาปทั้งหมด จะบาปมากบาปน้อยก็แล้วแต่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนา จะทำกับผู้มีคุณสูงหรือทำกับผู้ไม่มีคุณสูง ผลแห่งกรรมจะได้รับแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง


>>>>> จบ >>>>>

กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน

กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 เมษายน 2549 09:25 น.


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายเป็นนายทหาร เป็นคนเรียบง่าย ร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เข้าได้กับคนทุกระดับ จึงเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งเรียกเขาว่า ‘กะปุกกะปุย’ ส่วนเธอ ‘จริยา ประโคน’ จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับราชการอยู่ในฝ่ายปกครองของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง

เขาเป็นลูกชายคนที่สองของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ คนหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ให้ความศรัทธา เคารพยกย่อง และมีฐานะทางการเงินเข้าขั้นเศรษฐีเมืองไทยคนหนึ่ง เขามีความเป็นลูกผู้ชายที่ใครจะมาลบเหลี่ยมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีความทรนง เป็นตัวของตัวเอง และรักศักดิ์ศรีเทียบเท่าชีวิต บ้านของเขาไม่ได้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เขาได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ซึ่งสมัยนั้นยังตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง

ส่วนจริยาเป็นสาวน้อยน้ำหนักแค่ 33 กก. เท่านั้น จึงเป็นคนที่คล่องแคล่ว กร้าวแกร่ง และไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ชอบแต่งกายด้วยชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืดเป็นประจำ

กะปุกกะปุยกับจริยาควงกันเที่ยวอยู่หลายปี ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ จนกระทั่งเขาเรียนจบและได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท รับราชการในเขตอีสาน ซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยภัยจากคอมมิวนิสต์คุกคาม ส่วนเธอก็ได้มารับตำแหน่งในอีสานเช่นกัน ต่างคนต่างทุ่มเทกับการทำงาน จึงห่างเหินไม่ได้ติดต่อกันนานเป็นปีๆ คงมีแต่จดหมายติดต่อกันเท่านั้น และเธอก็ได้ส่งขนมนมเนยไปให้เขาอย่างสม่ำเสมอ

แต่แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น จู่ๆ มีผู้ชายร่างคมสันคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดฝึกทหาร เปื้อนไปด้วยฝุ่นลูกรังสีแดงติดกรังตั้งแต่หัวจดเท้า และผมยาวจดลำคอ ขี่รถจักรยานยนต์คันใหญ่มาหาเธอ เมื่อถอดหมวกออก เธอก็จำได้ทันทีว่าเป็นเขา คนที่เธอห่วงใยอยู่เสมอนั่นเอง

เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งได้รับคำสั่งให้มารับราชการ ในอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดที่เธออยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นพื้นที่สีชมพู ดินแดนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิตส์ มีกฎห้ามว่าคนในไม่ให้ออกคนนอกไม่ให้เข้า ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง เขาจึงจำต้องอดทนใส่ชุดเก่าชุดเดิมออกมาจากหมู่บ้านนั้น แต่หลังจากอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็มารับเธอไปดูหนัง ไปหาอาหารอร่อยๆ รับประทานกัน แล้วก็จะกลับเข้าฐานในเวลาไม่เกิน 2 ทุ่มตามกฎ เป็นอย่างนี้ประจำแทบทุกวัน เว้นวันที่ต้องนำกำลังออกซุ่มโจมตี หรือว่าเข้าเวรรักษาการณ์เท่านั้น

เขาเป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งน้องที่ดี มีปัญหาคับข้องใจอย่างไรจะหันหน้าปรึกษา ช่วยกันแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือตามอัตภาพ สำหรับเธอแม้จะเป็นสาว แต่เลือกคบคน เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอให้ความสนิทชิดชอบ ให้ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ คบกันมาหลายปีจนเขาได้รับพระราชทานยศนายพันตรี

มีอยู่วันหนึ่งที่เธอไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อครบกำหนดก็จะต้องกลับบ้าน ขณะนั้นค่ำแล้ว ฟ้าครึ้มด้วยฝน และเริ่มมีฝนตกปรอยๆ เขาก็ขับรถจี๊ปไปรับ ระหว่างทางฝนก็ตกหนักอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น จนทั้งคู่เปียกปอน เขาจึงเลี้ยวรถพาเข้าโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อหลบฝน เวลานั้นเขาสั่งเครื่องดื่มมาดื่มจนเมาและกอดเธอไว้แนบอก พร้อมกับสารภาพว่ารักเธอมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อย และขอแต่งงาน

เธอจึงงงงันไปหมด ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ไม่รู้ว่าจะวางตรงไหน เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีผู้ชายมาบอกรัก จึงได้ตอบไปว่าไม่เชื่อว่าเขาจะรักเธออย่างชู้สาว เพราะเขาเจ้าชู้ มีสาวๆ หน้าตาดีๆ มากมาย จะมารักคนแก่อย่างเธอทำไม และจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เขาตอบว่า

“อะไร ? ไม่เชื่อใจหรอกหรือ 3-4 ปี ที่ยอมลงทุนไว้ผมยาวประบ่า ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าฝุ่นดินลูกรัง หัวฟู ฝุ่น เกาะเต็มหัวหนาเตอะ เสี่ยงตายถึง 45 กิโล ฝ่าหลุมฝ่าบ่อฝ่าความตายจากผู้ก่อการร้าย มาหาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด แล้วอย่างนี้ยังไม่เชื่อใจเขาหรือ”

แรกๆ เธอก็ยอมรับว่าเห็นใจอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เพราะความเป็นผู้หญิงต้องไว้ตัว จึงดุไปว่าเธอเพิ่งจะออกมาจากห้องวิปัสสนา ซึ่งถือว่าไปทำบุญอันยิ่งใหญ่มาใหม่ๆ จะมาพูดพล่อยๆ พูดเล่นๆ สนุกๆ ได้อย่างไรกัน คำพูดออกมาแต่ละคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ และจะต้องเป็นไปตามปากพูด ทันใดนั้น !! โดยไม่คาดคิด เขาพนมมือไหว้ต่อหน้าสายฟ้าที่กำลังร้องครืนๆ ส่งเสียงเปรี้ยงปร้างและสายฝนที่กำลังเทลงมาอย่างหนัก และพูดว่า

หากเขาพูดไม่จริง ทรยศมีหญิงอื่น ทำให้เธอเจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง ก็ขอให้ฟ้าผ่าตาย !!

ไม่นานทั้งคู่ต่างคนก็ต่างห่างกันไประยะหนึ่งด้วยภาระหน้าที่การงาน จริยาทราบว่าเขารับตำแหน่งเป็นรองผู้การทหารบก และขลุกอยู่กับงานที่ทำเพื่อความเจริญก้าวหน้า ส่วนเธอก็ย้ายเข้ามารับราชการที่กระทรวงในกรุงเทพฯ ต้องเรียนรู้ระบบงาน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ ทันกับยุคสมัย เธอกับเขาจึงแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย จนเกือบลืมกันเสียสนิท

กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนรักของเขา ซึ่งไปเรียนต่อหลักสูตรสำคัญทางด้านทหารเพิ่มเติมพร้อมกันที่ประเทศอังกฤษ ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวาย ญาติๆ นำศพมาทำพิธีในเมืองไทย เขาก็ร่วมนำศพกลับมาด้วย ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน เขาขับรถมาส่งเธอที่บ้าน แสดงทีท่าอาลัยอาวรณ์ สั่งเสียร่ำลาไม่ยอมไปสักที บอกว่าไม่ไปเรียนต่ออีกแล้ว ขออยู่ทำงานที่เมืองไทยเพราะทิ้งงานไปนาน และเห็นว่าเธอกำลังเดือดร้อน สุขภาพก็ไม่สู้ดี จะขออยู่เป็นกำลังใจคอยให้การช่วยเหลือ

แต่แล้วเขาก็หายหน้าไปพักใหญ่ๆ มีเพียงการพูดคุยทางโทรศัพท์และติดต่อกันทางจดหมาย อยู่มาวันหนึ่ง เขาขับรถมารับเธอไปรับประทานข้าวข้างนอกบ้านเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เขาทำให้เธอตัวชา เสียใจ และเสียความรู้สึกมาก เขาบอกว่าเพื่อนที่ทำงานกับเธอและคบกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว ไปไหนก็ไปด้วยกัน สนิทกันเป็นอย่างดี ไปหาเขาถึงที่ทำงาน ด้วยความที่เขาเป็นสุภาพบุรุษและเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ จึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกเหมือนกัน และด้วยอำนาจสุราพาไป ขาดความยับยั้งชั่งใจ ความเหงาว้าเหว่ จึงขาดสามัญสำนึกที่ดีและถูกต้อง เขาจึงมีอะไรกับผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเสียใจ และขอให้เธออโหสิกรรมให้เขาด้วย

เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ฝืนยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านเธอจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร และด้วยความที่ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้ว ทำให้เธอสามารถประคองจิตให้สงบได้ในที่สุด

เวลาผ่านไปได้เดือนเศษๆ ที่เธอกับเขายุติการติดต่อกัน เพื่อนรักคนนั้นของเธอ ก็มาถามว่าทำไมไม่เห็นเธอไปงานศพเขา ซึ่งขณะนี้ได้เผาเรียบร้อยแล้ว เธอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ จึงได้โทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อนสนิทของเขา ที่ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า เขาได้รับคำสั่งให้นำกำลังไปเสริมที่ชายแดนด้านเขมร

ขณะนั้นฝนตกหนักไม่ลืม หูลืมตา จึงได้สั่งทหารให้กางเต็นท์ เพื่อเข้าไปหลบฝน เมื่อทหารกางเต็นท์เสร็จเขาก็ไปยืนพิงเสาเหล็กของเต็นท์ ขณะนั้นเองก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงเต็มแรงลงมายังเสาเหล็กเปียกน้ำที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาถึงแก่ความตายทันที ตัวดำเป็นตอตะโกโดยไม่ทันได้ร้องสักคำเดียว !! เธอไม่นึกไม่ฝันเลยว่า คำสาบานของเขาที่มีต่อเธอจะกลายเป็นเรื่องจริง !!

กรรม ก็คือการกระทำทั้งทางกาย และทางใจ เมื่อประพฤติผิดศีล ผิดธรรม และสร้างบาป ซึ่งจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม กรรมย่อมส่งผล ทำกรรมใดก็ได้รับผลเช่นนั้น ตอบสนองตามโทษานุโทษที่กรรมจะเป็นผู้กำหนดเช่นกัน

ผลกรรมทันตา ตอนก่อกรรมแมงมุม

ผลกรรมทันตา ตอนก่อกรรมแมงมุม

เมื่อตอนฉันยังเด็ก ฉันเป็นเด็กร่าเริง มีเพื่อนฝูงมากมาย
เล่นซนไปตามภาษาเด็กซนๆ คนหนึ่ง
ยังจำได้ว่าเรียนอยู่ตอนนั้นเข้าเรียนรร.อนุบาล
วันหนึ่งฉันไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นแมงมุมเกาะอยู่ที่ผนังห้องน้ำ
บางตัวกำลังชักใยไปมา แมงมุมดูเคลื่อนไหว ดูน่าค้นหา
ดูน่าจับมาเล่น ด้วยความเดียงสาและนึกสนุก
จึงจับเจ้าแมงมุมตัวน้อยผู้เคราะห์ร้ายออกจากใยของมัน
พอจับแมงมุมออกมาแล้วมายืนอยู่ด้านนอกห้องน้ำ
ก็เริ่มเล่นพิเลนกับเพื่อน

โดยทำการหักขาแมงมุมแข่งกับเพื่อน
มาทำเป็นนาฬิกา วางไว้อยู่ในมือน้อยๆ
แข่งกันว่านาฬิกาใครจะหยุดก่อนกัน ใครหยุดหลังชนะ
โดยไม่คิดว่าจะมีเวรกรรมกับตัวเอง
ต่อมาฉันโตขึ้นมา จำได้ว่าช่วงนั้น
ม. 4 ยังเป็นวัยรุ่นวัยวุ่น ฉันยังเป็นคนร่าเริง
รักสนุก ชอบทำกิจกรรมต่างๆ เสมอ

วันหนึ่งนัดกับเพื่อนไปเล่นเทนนิส
วันนั้นช่างเป็นวันโชคร้ายในชีวิต
ขณะนั้นฉันกำลังขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปรับเพื่อน

ขณะก่อนถึงบ้านเพื่อนฉันกำลังรอข้ามทางแยก
ฉันมองเห็นรถปิคอัพคันหนึ่งวิ่งมา
แต่ฉันคิดว่าตัวเองต้องข้ามทางแยกพ้น เลยขี่รถต่อไป
ขณะนั้นรถมาถึงตรงหน้าแล้ว เลยขับประสานงากันอย่างแรง
ตอนนั้นฉันได้แต่นึกถึงแม่มากมาก
แล้วก็ร้องไห้อย่างหนักและตะโกนว่าเจ็บขาๆ

คนขับรถยนต์รีบลงมาช่วย
แต่เขาไม่รู้วิธีปฐมพยาบาล
และอุ้มฉันขึ้นรถ โดยไม่ได้ระวังขาข้างซ้ายของฉัน

พอถึงโรงพยาบาลก็มีคนช่วยตามแม่และเพื่อนสนิทของฉันมา
ฉันจำได้วันนั้นรอคุณหมอเป็นชั่วโมง
เพราะเป็นวันหยุดและยังเช้าตรู่อยู่
ขณะนั้นฉันก็นอนร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน

พอคุณหมอมา ท่านก็ได้ตรวจดูขา
พบว่าขาฉันหักและกระดูกแตกเป็น 3 ท่อน
ที่กลางหน้าแข้ง เนื่องจากการปฐมพยาบาลไม่เป็น
คนที่ช่วยมางอขาข้างที่หัก เลยทำให้มันแตกเพิ่มขึ้น
ส่วนข้อเท้ากระดูกก็หักเช่นกัน

ฉันเลยต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานหลายเดือน
เสียการเรียน เสียโอกาสได้ทำอะไรหลายอย่าง

แต่วันนี้หลังจากที่ฉันมาพบและปฏิบัติธรรม
กับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
ฉันจึงได้รับรู้ผลกรรมที่ติดจรวดมาเอาคืน
มันหนักหนาสาหัสอย่างไร

เนื้อวัวกับหัวคน

เนื้อวัวกับหัวคน

อาหงเป็นพ่อค้าที่ขายสินค้าทั้งปลีกและส่ง เดือนหนึ่งจะต้องเดินทางไปภาคอีสานและภาคกลางอย่างน้อย 1 ครั้ง ทุกครั้งที่เดินทางมาที่จังหวัดสุรินทร์ ในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งหลังจากเสร็จสิ้นภาระกิจแล้ว จะนั่งดื่มชาจีนกับเถ้าแก่คนหนึ่งในร้านขายเหล็ก เพื่อพูดคุยกันและเป็นการรอรถเพื่อจะกลับจังหวัดที่ตนอยู่

มีอยู่ครั้งหนึ่งอาหงก็นั่งดื่มน้ำชากับเถ้าแก่เฉินตามปกติและเสวนาเรื่องการค้า จู่ๆ ก็เห็นหนุ่มใหญ่คนหนึ่งท่าทางเป็นคนแข็งแรงร่างกายบึกบึน ชายคนนั้นได้จูงวัวตัวหนึ่งเดินผ่านหน้าร้านที่เถ้าแก้ทั้งสองกำลังดื่มน้ำชาอยู่ เป็นเรื่องแปลกมากเมื่อวัวตัวนั้นเดินผ่านร้านขายเหล็กที่เถ้าแก่ทั้งสองคนกำลังดื่มน้ำชากันอยู่ ก็ไม่ยอมเดินต่อไป ถึงแม้หนุ่มใหญ่คนนั้นจะลากจะจูงอย่างไร วัวตัวนั้นก็ดื้อไม่ยอมเดินท่าเดียว

หนุ่มใหญ่คนนั้นจึงโกรธมากได้เอาเชือกหยาบๆ เส้นหนึ่งเฆี่ยนตีลงไปที่หลังของวัว แต่วัวตัวนั้นก็ยังไม่เดิน อาหงและเถ้าแก่เฉินเมื่อเห็นเหตุการณ์นั้น จึงหยุดดื่มน้ำชาแล้วรีบเดินมาดูที่หน้าบ้านว่ามีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องแปลกจริงๆ เมื่อวัวตัวนั้นเห็นเถ้าแก่ทั้งสองเดินออกมาดู วัวตัวนั้นจึงรีบคุกเข่าลงทันที น้ำตาไหลพรากเหมือนกับจะวิงวอนขอให้เถ้าแก่ทั้งสองช่วยชีวิตมันด้วย

อาหงได้มองหน้าเถ้าแก่เฉินแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เถ้าแก่เฉินรู้จักหนุ่มใหญ่คนนี้ดี จึงถามหนุ่มใหญ่คนนี้ว่า “วัวตัวนี้จะเอาไปโรงฆ่าสัตว์หรือ จะขายเท่าไร” ที่เถ้าแก่เฉินถามนั้น ก็เพราะตั้งใจไว้ว่าจะร่วมกับอาหงซื้อวัวตัวนั้นเพื่อเอาบุญ หนุ่มใหญ่จึงตอบว่า

“ตั้งใจจะขายให้โรงฆ่าสัตว์สัก 6,000 บาท แต่ว่าไอ้วัวตัวนี้มันช่างร้ายกาจและดื้อนัก ต้องใช้กำลังมากจึงลากและจูงมันมาด้วยความลำบาก ดังนั้นต่อให้เป็นเงิน 10,000 บาท ก็จะไม่ขาย อยากจะทารุณมันด้วยสองมือของตัวเองจึงจะหายแค้น”

เถ้าแก่เฉินและอาหงก็ถามอีกว่า “วัวตัวนั้นไปทำอะไรให้ คุณถึงได้แค้นหนักหนา”

หนุ่มใหญ่ไม่ตอบ

ต่อมาเถ้าแก่จึงได้รู้ความจริงว่า “แท้จริงวัวตัวนี้มันแก่แล้วไถนาไม่ได้ เจ้าของวัวจึงได้ขายวัวตัวนี้ให้กับหนุ่มใหญ่ด้วยราคา 4,000 บาท หนุ่มใหญ่ตั้งใจจะขายต่อให้โรงฆ่าสัตว์ วัวตัวนั้นมันรู้ชะตากรรมของมันดีมัน จึงไม่ยอมเดินตามหนุ่มใหญ่ไป จึงเป็นเหตุให้หนุ่มใหญ่โกรธแค้นวัวตัวนี้ อยากจะฆ่าวัวตัวนี้ด้วยน้ำมือของมันเอง เถ้าแก่ทั้งสองสงสารวัวตัวนั้นจับใจอยากจะช่วยซื้อ แต่หนุ่มใหญ่ไม่ยอมขาย”

เถ้าแก่ทั้งสองจึงได้มองตากันปริบๆ เพราะช่วยเหลือวัวตัวนั้นไม่ได้ ได้แต่มองดูหนุ่มใหญ่ทั้งลากทั้งจูงวัวให้พ้นจากสายตา วันเวลาผ่านไป 1 เดือน อาหงเดินทางไปเก็บเงินและซื้อสินค้าเพิ่มเช่นเคย อาหงไปหาเถ้าแก่เฉิน เถ้าแก่เฉินเล่าให้ฟังว่า

จำได้ไหมเมื่อเดือนก่อนที่เราตั้งใจจะซื้อวัวตัวนั้น แต่หนุ่มใหญ่ไม่ยอมขายให้ เรื่องของวัวตัวนั้นอันที่จริงแล้ว เมื่อพวกเขาซื้อวัวมาจากเจ้าของเดิมก็อยากฆ่าด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์ พวกเขาอยู่ด้วยกัน 3 คน บ้านอยู่ในชนบท วันหนึ่งได้แต่ซื้อวัวแก่ที่ไถนาไม่ได้แล้วนำมาฆ่าเอง หรือส่งไปที่โรงฆ่าสัตว์ วัวตัวหนึ่งจะขายได้กำไรประมาณ 2,000 - 3,000 บาท บางครั้งพวกเขาก็ช่วยกันฆ่าโดยจูงวัวเข้าไปในป่าแล้วลงมือฆ่า

เมื่อวัวตายเนื้อวัวจะถูกส่งไปขายให้พ่อค้าเนื้อที่ตลาด โดยค่าส่งจะถูกกว่าโรงฆ่าสัตว์เสียอีก การแอบฆ่าวัวเพื่อจะได้กำไรมาก โดยไม่ต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์กำไรอีกทอดหนึ่ง แต่การแอบฆ่าสัตว์ก็ผิดกฏหมายเหมือนกัน ดังนั้นพวกเขานานๆ จะฆ่าสักตัวหนึ่ง เหมือนครั้งนี้เจ้าวัวแก่ตัวนี้มันดื้อไม่ยอมเดินตามหนุ่มใหญ่ไปที่โรงฆ่าสัตว์ มันจึงถูกพวกทั้ง 3 คนคิดจะลงมือฆ่าเอง

2 ใน 3 คนมีนาย ก และนาย ข นาย ก บอกให้นาย ข ไปที่ตลาดบอกกับพ่อค้าว่า “พรุ่งนี้จะมีเนื้อวัวที่ฆ่าเองมาส่งให้” พร้อมกับให้นาย ข ขากลับแวะไปที่ตลาดซื้อเหล้ามาด้วย ยังไม่ทันไปซื้อเหล้า นาย ข ได้เข้าไปร้านเหล้า ดื่มเหล้าไปแล้ว 30 จอก หลังจากนั้นก็มีอาการเมามายเดินโซเซอยู่กลางถนน ต่อมามีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งแล่นผ่านมาแล้วเบียด นาย ข ตกริมทาง มีพลเมืองดีผ่านมาเห็นเข้าจึงได้นำ นาย ข ส่งโรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาลแล้ว นาย ข ยังไม่หายเมา ไม่มีสติ ส่วนนาย ก ยืนรอนาย ข อยู่ในป่านานแล้วนาย ข ก็ยังไม่กลับมาสักที จึงคิดว่าสงสัย เราจะต้องลงมือฆ่าวัวด้วยตัวเองเสียแล้ว เพราะนี้ก็บ่ายมากแล้วเดี๋ยวค่ำมืดจะไม่สะดวก

นาย ก มีความชำนาญในการฆ่ามาก พอคว้ามีดที่เสียบไว้ในเอวได้แล้ว จึงใช้มืออีกข้างหนึ่งคลำบริเวณลำคอของวัวตัวนั้น แล้วใช้มีดแทงลงไปบริเวณที่วัวถูกแทง ห่างจากลูกคอประมาณ 7 นิ้ว ไม่มีเสียงร้องจากวัวเมื่อถูกแทงก็ล้มลงขาดใจตายทันที นาย ก เรียนรู้การฆ่าวัวจากบรรพบุรุษของตัวเอง เพราะรู้วิธีการดี โดยแทงวัวให้ถูกจุด ชั่วประเดี๋ยววัวตัวนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากลำคอ นาย ก ปล่อยให้เลือดของวัวไหลจนหมด หลังจากนั้น นาย ก ก็จะเอากาละมังที่เตรียมไว้ไปใส่น้ำในลำธาร แล้ววางอยู่บนโขดหินจากนั้นก็จัดการก่อไฟขึ้น

นาย ก ใช้มีดปลายแหลมกรีดเข้าไปในท้องของวัว แล้วล้วงเอาลำไส้ให้ออกมา จากนั้นจึงฟันหัววัว หลังจากนั้นได้เอาไปต้มในกาละมังที่เตรียมไว้ ต่อจากนั้น นาย ก ก็หาต้นไม้ที่ร่มรื่นเอนหลังโดยใช้ไม้หยาบๆ หนุนแทนหมอน แล้วก็หลับไปเพื่อเป็นการรอคอยนาย ข ซื้อเหล้ามา จะได้แกล้มกับหัววัว

วันนั้น นาย ก เหนื่อยมาก พอล้มตัวลงก็หลับไม่รู้เรื่อง สะดุ้งตกใจตื่นกลัวว่าเมื่อกี้ที่ต้มหัววัวอยู่น้ำจะแห้งไปจึงรีบๆ ลุกขึ้นไปดูด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น นาย ก ไม่ทันระวังตัวเท้าไปสะดุดกับไม้หยาบที่ตัวเองใช้หนุนแทนหมอน นาย ก หกล้มหน้าจึงทิ่มไปในกาละมังที่กำลังต้มหัววัวอยู่พอดี ไม่มีเสียงร้องใดๆ จากนาย ก ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงถูกต้มจนเปี่อยอยู่ในกาละมัง

รุ่งเช้าชาวบ้านเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า “ผลกรรมตามสนอง” เพราะว่าเอาหัววัวไปต้ม หน้าก็ถูกทิ่มลงไปในกาละมังด้วย ดังนั้นทุกคนจึงได้รู้ว่าทำกรรมไว้กับผู้ใดกรรมนั้นจะตอบสนองเหมือนเงาตามตัว



.............................................................

คัดลอกมาจาก
http://www.manager.co.th/Dhamma/

พรานเฒ่าเสียท่าหมูป่า เจอเขี้ยวแทงเป็นแผลฉกรรจ์ทั้งตัว

พรานเฒ่าเสียท่าหมูป่า เจอเขี้ยวแทงเป็นแผลฉกรรจ์ทั้งตัว

ชาวบ้านรีบหามส่ง ร.พ.แต่ไปตายระหว่างทาง
ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์แซด พรานเฒ่าถูกพ่อหมูป่าตามมาอาฆาต

เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่จู่ๆ หมูป่าจะเข้ามาหมู่บ้านที่อยู่ห่างกันถึง 10 ก.ม.
ระบุหลายวันก่อนพรานเฒ่าเข้าไปล่าหมูแม่ลูกอ่อนเอาเนื้อมาขาย

แล้วเอาลูกหมูป่าเข้ามาเลี้ยงไว้ในสวน

พอลูกหมูโตขึ้นก็จับฆ่าชำแหละแต่ยังเหลืออยู่ 1 ตัว
วันเกิดเหตุพ่อหมูมาส่งเสียงเรียกลูก พรานเฒ่าได้ยินรีบคว้าปืนลั่นไก

แต่กระสุนด้าน เลยถูกพ่อหมูป่ากระโจนใช้เขี้ยวแทงจนตายสยอง

เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ร.ต.อ.รณชัย ธนวัฒน์ดำรง พงส. (สบ.1)
สภอ.จุน จ.พะเยา รับแจ้งจากร.พ.จุน ว่า เมื่อคืนวันที่ 4 เม.ย.
มีชาวบ้านถูกหมูป่าทำร้ายมาเสียชีวิตที่ ร.พ.

รุดไปตรวจสอบทราบชื่อผู้ตายคือ นายหวัน สีสัน อายุ 68 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 268 ม.4 ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน

พรานล่าสัตว์ชื่อดังของห้วยข้าวก่ำ
สภาพศพถูกเขี้ยวหมูป่าแทงเป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่ง

จากการสอบสวนชาวบ้านที่ช่วยกันนำนายหวันส่งร.พ.
ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเย็นวันที่ 4 เม.ย.
มีหมูป่าตัวผู้เข้ามาในสวนลำไย ลิ้นจี่
นายหวันจึงวิ่งไปเอาปืนแก๊ปมาไล่ยิงในระยะประชิด

แต่กระสุนยิงไม่ออก จึงถูกหมูป่ากระโจนใส่อย่างแรง
จนเสียหลักล้มลงและเกิดต่อสู้กัน
ก่อนนายพรานเฒ่าจะเสียท่าถูกหมูป่าใช้เขี้ยวยาวแทงเข้าหน้าอกทะลุปอด
ขาทั้งสองข้าง และสะโพกทั้งสองข้างเป็นแผลฉกรรจ์เลือดเต็มนองพื้น

ชาวบ้านต้องช่วยกันยิงหมูป่าจนตาย
แล้วรีบนำนายหวันส่ง ร.พ.จุน
แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างทาง
โดยแพทย์ระบุว่าเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมากและมีเลือดคั่งในปอด

จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านผู้ตาย
พบว่าชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

ระหว่างช่วยกันจัดงานศพให้นายหวันว่า
ไม่น่าเชื่อว่าหมูป่าจากป่าห้วยข้าวก่ำ
จะเข้ามาถึงหมู่บ้านเนื่องจากอยู่ห่างกันถึง 10 ก.ม.

สาเหตุน่าจะมาจากพ่อหมูป่าตามมาเล่นงานนายหวัน
เพราะเมื่อเร็วๆ นี้พรานเฒ่าเพิ่งเข้าป่าไปฆ่าหมูป่าแม่ลูกอ่อน
และเอาทั้งแม่ทั้งลูกมาชำแหละขาย

ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าว่า เมื่อประมาณ 10 วันที่ผ่านมา
นายหวันพรานเฒ่าเข้าป่าห้วยหลวง-ห้วยข้าวก่ำ
และล่าหมูป่าแม่ลูกอ่อนมาได้ตัวหนึ่งนำเนื้อชำแหละขายให้ชาวบ้าน

พร้อมกันนั้นยังนำลูกหมูป่า 4 ตัวมาเลี้ยงไว้
ก่อนชำแหละขายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังเหลืออยู่ 1 ตัว

จนกระทั่งวันเกิดเหตุคาดว่าพ่อหมูป่า
ลัดเลาะมาตามลำห้วยจนถึงหมู่บ้าน
และตามกลิ่นลูกมาถึงสวนข้างบ้านนายหวัน
จากนั้นส่งเสียงเรียกหาลูกที่นายหวันเลี้ยงไว้ในสวน

ซึ่งลูกหมูก็ส่งเสียงร้องตอบ เมื่อนายหวันเห็นจึงคว้าปืนวิ่งลงจากบ้าน
เล็งยิงใส่พ่อหมู 1 นัดแต่กระสุนด้าน
เลยถูกพ่อหมูป่ากระโจนใช้เขี้ยวแทงใส่จนตายสยองดังกล่าว

คัดลอกจาก...คุณซาตาน
http://happy.teenee.com/xfile/kod/1240.html

บั้นปลายของวายร้าย

บั้นปลายของวายร้าย

นายดันแคน เจวอนส์ หนุ่มใหญ่วัย ๔๙ ปี เป็นนักขโมยหนังสือตัวยงแห่งเมืองผู้ดีอังกฤษ มีประกาศนียบัตรรับประกันฝีมือด้วยจำนวนหนังสือ ๔๐,๐๐๐ เล่ม ที่หมั่นเพียรขโมยมาในช่วงระยะเวลา ๓๐ ปี โดย ไม่เคยถูกจับได้เลย แต่แล้วผลกรรมก็ตามสนอง เมื่อขโมยฝีมือฉกาจพลาดท่าถูกจับได้เมื่อเร็วๆ นี้ ขณะพยายามขายหนังสือที่ "จิ๊ก" ชาวบ้านมาให้รถขายหนังสือเลหลัง
เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งตามไปตรวจค้นบ้านของนายเจวอนส์ ซึ่งเป็นบ้านไร่ในเมืองซัฟฟอล์ก ทางตะวันออกของอังกฤษเล่าว่า พบหนังสือมากมายกองสูงเป็นภูเขาลูกย่อมอยู่ในบ้าน หนังสือส่วนมากเป็นหนังสือเกี่ยวกับศาสนาและปรัชญา ซึ่งเขาขโมยมาจากห้องสมุดต่างๆ โบสถ์ และวิทยาลัยหลายแห่ง ด้วยเหตุผลที่ศาลได้รับการบอกเล่าจากผู้ใกล้ชิดจำเลยว่า เป็นเพราะนายเจวอนส์ต้องการสร้างความประทับใจแก่ผู้คนด้วยความเป็นคนมีความรู้มาก และเพราะความรู้มากไม่ยอมควักเงินซื้อหนังสืออ่าน นายเจวอนส์เลยถูกตัดสินจำคุก ๑๕ เดือนไปแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้



ที่เมืองบีโล โฮริซอนเต้ ในประเทศบราซิล ขโมยคนหนึ่งแอบดอดเข้าไปในร้านขายของแห่งหนึ่งได้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่เดินใจเย็นอยู่ในร้าน ชั่งใจว่าจะขโมยอะไรดี ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นถังใส่กาวใบหนึ่ง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงลองดมดู กลิ่นของกาวน้ำทำให้ขโมยดวงจู๋เป็นลมหมดสติอยู่ตรงนั้น
พอตอนเช้าเจ้าของร้านก็ลงมาพบแขกผู้ไม่ประสงค์ดีนอนสลบไร้สติกองอยู่กับพื้น เลยแจ้งตำรวจมาจับไปเข้าซังเตได้โดยละม่อม



(มติชนสุดสัปดาห์ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๓๗)
เซ็นต์หลุยส์, สหรัฐ มือชักดาบถูกดาบที่ชัก ซัดเอาจนชักและเสียชีวิต นักดาบมือนี้คือ นายโรเบิร์ต ปูเอลโล ได้คว้าฮ็อทด็อคชิ้นเบ้อเริ่ม แล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกจากร้านค้าโดยไม่จ่ายเงิน เมื่อพนักงานโทรเรียกตำรวจ เขาก็รีบยัดฮ็อทด็อคทั้งดุ้นเข้าคอไปอย่างรวดเร็ว แต่พอเดินพ้นร้านค้าไป เขาก็ล้มลงชักกระตุก หมดสติ ในที่สุดก็เสียชีวิต โดยมีฮ็อทด็อคชิ้นโปรดยาว ๖ นิ้ว ติดอยู่ในลำคอ



(น.ส.พ.สยามรัฐ ๑๔ ต.ค. ๒๕๓๗)
ขณะที่นายโตชิโร วาตานาเบ้ อายุ ๔๔ ปี พนักงานธนาคารแห่งหนึ่ง พร้อมเพื่อนพนักงานธนาคารอีก ๒ ราย กำลังขนเงินจำนวน ๑.๒ ล้านดอลลาร์ จากสำนักงานสถานีรถไฟในเมืองโอซาก้า เพื่อนำกลับไปยังธนาคารสาขาที่เขาทำงานอยู่ โดยใช้บันไดซึ่งทางสถานีอนุญาตให้ใช้เฉพาะพนักงานรถไฟ เป็นเส้นทางลำเลียงเงิน ก็มีกระทาชายนายชูจิ โอตากะ อายุ ๓๒ ปี เกิดอาการสติเฟื่องอยากเป็นพระเอก เรื่องโรบินฮู้ด ใช้ธนูเป็นอาวุธปล้นเงินที่พนักงานกำลังขนอยู่
ผลการปล้นตามสไตล์ย้อนยุคครั้งนี้ ปรากฏว่า นายวาตานาเบ้ได้รับบาดเจ็บที่อกเพียงเล็กน้อย เพราะพิษธนูยาว ๔๐ เซนติเมตร ซึ่งยิงมาจากระยะห่าง ๕ เมตร ส่วนนายโอตากะ โรบินฮู้ดผู้ตกงาน หลังจากยิงนายวาตานาเบ้แล้ว ก็ฉกกระเป๋าซึ่งมีเงินอยู่ภายในประมาณ ๓๖๐,๐๐๐ ดอลลาร์ วิ่งออกไปโดยเร็ว แต่เมื่อวิ่งออกไปได้เพียง ๑๐๐ เมตร ก็ล้มกลิ้งอย่างไม่เป็นท่า เพราะดันเซ่อซ่าวิ่งตกบันไดเสียเอง จึงถูกพนักงานสถานีรถไฟช่วยกันจับตัวไว้ได้



(น.ส.พ.สยามรัฐ ๒๖ ต.ค. ๒๕๓๗)
เมื่อวันที่ ๒๘ ก.ย. ๒๕๓๖ เวลา ๕.๒๐ น. ตำรวจกองปราบพบศพนายหวง เหวยจี้ อายุ ๒๔ ปี ใช้เสื้อวอร์มผ้าร่มสีขาว ผูกคอขึงกับซี่ลูกกรงห้องขัง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ
ผู้ตายและเพื่อนคือนายลี อาเพ้ง และนายซือ จังแพ อายุ ๓๗ ปี หลบหนีคดีคอร์รัปชั่นเงินของรัฐบาลจีนจำนวน ๑๐ ล้านหยวน (ประมาณ ๔๐ ล้านบาท) มากบดานอยู่ที่ห้อง ๙๑๓ ไฮคลาสแมนชั่น ซอยอาลาดิน เขตจตุจักร และถูกตำรวจกองปราบจับกุมเมื่อวันที่ ๒๐ ก.ย. ๒๕๓๖ ในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ผู้ตายเกรงว่าจะถูกประหารชีวิตหากถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศจีน เพราะที่มณฑลไหหนาน มีการประหารชีวิตนักโทษคดีฉ้อโกงเงินรัฐบาลไปแล้ว เมื่อเพื่อนหลับสนิทจึงฉวยโอกาสผูกคอตาย
ต่อมาเวลา ๙.๓๐ น. นายลี อาเพ้ง เกิดอาการคลุ้มคลั่ง พยายามใช้ลวดแขวนเสื้อรัดกับลูกกรงเพื่อผูกคอตายหนีคดี ส่วนนายซือ จังแพ ใช้ศีรษะโขกกับพื้นห้องควบคุม เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไประงับเหตุ



(น.ส.พ.ไทยรัฐ ๒๙ ก.ย. ๒๕๓๖)
เนื่องจากมีการชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์บนรถเมล์เกิดขึ้นบ่อยครั้งในเขต บก.น.เหนือ ผบช.น. จึงสั่งให้ตำรวจออกสืบตามโรงรับจำนำต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งที่คาดว่าคนร้ายจะนำทรัพย์สินไปจำนำ พบว่ามีผู้ต้องสงสัยรายหนึ่ง คือ นาย ฮ. อายุ ๓๓ ปี บ้านอยู่ที่หมู่บ้านทรัพย์เจริญ นำทรัพย์สินจำนวนมากมาจำนำบ่อยครั้งโดยไม่มีการไถ่ถอน
จากการสืบสวนทราบว่า นาย ฮ. ซึ่งติดการพนัน มักจะมาเล่นการพนันที่สนามมวยราชดำเนินเป็นประจำ ตำรวจจึงนำกำลังไปเฝ้าสังเกต จนกระทั่งค่ำวันที่ ๒๘ มิ.ย. ๒๕๓๗ ก็พบนาย ฮ. มาเล่นการพนันที่สนามมวย โดยทำตัวเหมือนเซียนพนันรายใหญ่ ทั้งที่ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ตำรวจจึงเชิญตัวมาสอบสวนที่โรงพัก
ผลการตรวจลายนิ้วมือนาย ฮ. พบว่า ตรงกับรอยนิ้วมือของคนร้ายที่เคยก่อคดีลักทรัพย์ในท้องที่สน.พญาไทหลายครั้ง เมื่อถูกสอบสวน นาย ฮ. ให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นคนร้ายที่เคยก่อคดีลักทรัพย์ทั่วกรุงเทพฯ โดยจะลักทรัพย์เฉพาะตามตึกแถวที่มีประตูเหล็กยืด ด้วยการใช้กุญแจผีเปิดประตูเข้าไปในบ้าน แล้วลักเฉพาะเครื่องเพชร ทองคำและเงินสดเท่านั้น ทรัพย์สินที่ได้มาจะนำไปเล่นการพนันจนหมด รวมทรัพย์ที่โจรกรรมมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ จำนวน ๗๔ ครั้ง คิดเป็นเงินประมาณ ๒๐ กว่าล้านบาท



(น.ส.พ.ไทยรัฐ ๓๐ มิ.ย. ๒๕๓๗)
ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้
๑. การทำทุจริตเป็นสิ่งที่น่าละอาย เป็นการลดค่าตัวเอง จากคนดีมาเป็นคนชั่ว ทำให้จิตใจต่ำทรามลงทันที ทำให้จิตใจไม่เป็นสุขเพราะวิตกกังวลว่าความลับจะรั่วไหล ทรัพย์ที่ได้มาโดยทุจริตก็ต้องซุกซ่อนไว้ เมื่อจะใช้จ่ายก็กลัวคนรู้เห็นหรือสงสัย มีทรัพย์ก็เหมือนไม่มี ชีวิตที่อยู่ในสภาวะเช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร
๒. บ้านเรือนที่สร้างไว้ไม่ดี ย่อมไม่ทนทาน พังทลายได้ง่าย ฉันใด ทรัพย์สินที่ได้มาโดยทุจริตก็ไม่ยั่งยืน มักมีเหตุให้ฉิบหายได้ง่าย ฉันนั้น นาย ฮ.ลักทรัพย์มาได้ถึง ๒๐ กว่าล้านบาท แต่ในที่สุดก็ไม่มีเหลือเลย ทั้งยังต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
๓. ถ้าการหาเลี้ยงชีพด้วยการปล้น ขโมย ยักยอก หลอกลวง จะทำให้มีความเป็นอยู่สุขสบายไม่ลำบาก พระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้หาเลี้ยงชีพโดยชอบให้เหนื่อยยากลำบากทำไม
๔. บั้นปลายที่วายร้ายกลัวที่สุดคือถูกประหารชีวิต การประหารชีวิตนักโทษมีขั้นตอนโดยย่อดังนี้
๔.๑ เบิกตัวนักโทษมาพิมพ์ลายนิ้วมือ เทียบกับตอนที่ถูกจับใหม่ๆ เพื่อไม่ให้ผิดตัว
๔.๒ อ่านคำสั่งประหารชีวิตแล้วให้นักโทษเซ็นรับทราบคำสั่ง
๔.๓ เขียนจดหมายลาตายถึงญาติและทำพินัยกรรม
๔.๔ ฟังพระเทศน์
๔.๕ กินอาหารมื้อสุดท้าย ซึ่งเรือนจำพยายามจัดอาหารที่ชอบมาให้ แต่นักโทษมักจะกินไม่ลง
๔.๖ ทำพิธีขอขมาและขออโหสิกรรมแก่เจ้าหน้าที่และพัศดี
๔.๗ นำนักโทษเข้าหลักประหาร เอาผ้าปิดตา มัดตัวกับหลักด้วยด้ายดิบในลักษณะพนมมือกำดอกไม้ธูปเทียน
๔.๘ กั้นด้วยฉากสีดำที่ติดเป้าสำหรับยิงไว้ตรงกลาง
๔.๙ แพทย์เข้าไปตรวจที่ตั้งของหัวใจเพื่อกำหนดจุดยิงให้ชัดเจน
๔.๑๐ เพชฌฆาตเข้าประจำแท่นยิงที่ติดตั้งด้วยปืนกล ขนาดกระสุน ๙ มม. ชุดละ ๑๐ นัด เตรียมไว้ ๒ ชุด
เมื่อทุกอย่างพร้อม ธงแดงจะถูกยกขึ้น เพชฌฆาตลั่นไกปืนปล่อยกระสุนชุดแรก ทะลุกลางเป้าของฉาก ไม่มีกำหนดว่ากี่นัด กำหนดเพียงว่า จนตาย เมื่อคณะกรรมการประหารพิสูจน์ว่านักโทษตายจริงก็จะลงชื่อในบันทึก และพิมพ์ลายนิ้วมือศพไว้เป็นหลักฐาน
(น.ส.พ.ไทยรัฐ ๘ พ.ค. ๒๕๔๒)


เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๒ ที่เรือนจำกลางบางขวาง มีการประหารชีวิตนักโทษถึง ๒ ราย เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๒ มีการประหารชีวิตนักโทษ ๑ ราย นับเป็นรายที่ ๘ ของปี
๕. บุคคลเหล่านี้ล้วนประสบกับบั้นปลายอันเลวร้ายในชาตินี้ ส่วนชาติหน้าก็มีหวังไปอบายภูมิ ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า หากคนเหล่านี้รู้ว่าจะได้รับผลตอบแทนทันตาเห็น เป็นความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสถึงเพียงนี้ คงไม่กล้าทำบาปเป็นแน่


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=18238