Tuesday, July 20, 2010

กรรมที่ไม่ได้ก่อ

กรรมที่ไม่ได้ก่อ

บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ชีวิตติดกรรมของตัวเรา หรือเวรกรรมที่ติดตามตัวเรามาในชาตินี้ เป็นเพราะเราก่อหรือสร้างกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ แต่บางทีก็ไม่ใช่หรอกค่ะ กรรมบางตัวนั้นเราอาจไม่ได้เป็นผู้ก่อ ผู้ทำ หรือผู้สร้างกรรมนั้นเลยก็ได้ ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไม่ใช่พันธุกรรม หรือกรรมที่เกิดจากบรรพบุรุษใดๆ เป็นกรรมที่เราเป็นผู้ถูกกระทำแท้ๆ แต่เรายังต้องรับผลร้ายๆ ที่ยังตามมาทำร้ายหรือทำลายเราให้รู้สึกเจ็บปวดลำบากหรือทรมานได้ อันนี้เรียกว่าเป็น “สัญญากรรม” ค่ะ ไม่ใช่เราไปสัญญาหรือสาบานกับใครไว้นะคะ แต่เป็นสัญญาที่หมายถึงการกำหนดจดจำที่ยังติดตัวติดอยู่ในจิตสุดท้ายของเราในชาติอดีตและยังติดตาม มาในชาตินี้ดังเช่นเรื่องของโยมผู้หญิงคนนี้ที่แม่ชีจะเล่าให้โยมที่เป็นผู้อ่านทั้งหลายได้พิจารณาดูค่ะ


7 สิงหา ชะตาขาด

“หนูเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองค่ะ...คุณแม่ เพราะหนูสุขภาพไม่ดี มักจะปวดหัว ปวดไปทั้งตัว บางทีก็หายใจไม่ออกค่ะ รู้สึกเกรงใจเจ้านายเลยลาออกจากงานเพื่อรักษาตัว เคยบวชชีพราหมณ์ 2 ครั้ง เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็ยังไม่หาย”
“แม่ชีจะบอกถึงเหตุแห่งทุกข์ หรือเหตุของกรรมที่โยมเป็นก่อนนะคะ เมื่อชาติก่อนหนูถูกฆ่าตายเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ค่ะ”
“หรือคะ...คุณแม่ หนูจะรู้สึกเจ็บปวดในช่วงเดือนสิงหาที่ผ่านมานี้ แล้วทำไมเขาถึงฆ่าหนูคะ...”
“หนูใส่เครื่องประดับมากค่ะ คนเลวพวกนั้นมีกัน 4 คนค่ะ ทีแรกจะเอาแค่เครื่องประดับ ต่อมาก็คิดที่จะข่มขืน หนูถูกลากตัวไปปลุกปล้ำ พอดีมีคนมา พวกนั้นชะงัก หนูลุกขึ้นมาก็เลยถูกพวกนั้นเอาไม้หน้าสามที่มีตะปูแหลมทะลุออกมาหนึ่งเซ็นด้วยนะ ฟาดลงไปบนหัวยุบลงไปตามไม้ ตอนนี้เจ็บหัวมากใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ...เจ็บร้าวไปหมดอย่างไม่มีเหตุผล”
“มีซิคะ...นี่ละเป็นสัญญากรรมที่ตามมา เป็นดวงจิตสุดท้ายก่อนตายที่ผูกพันอยู่ แม่รู้ว่าตอนนี้หนูนอนหมอนแข็งไม่ได้”
“หมอนนิ่มก็ยังนอนไม่ค่อยได้ค่ะ มันเจ็บปวดไปหมด”
“แล้วยังเจ็บนิ้ว เจ็บมือด้วยใช่ไหมคะ...”
“ใช่ค่ะ”
“เพราะคนพวกนั้นพยายามรูดแหวนออกจากนิ้วหนู...แล้วก็ช่วยกันทุบหน้าขาทุบๆๆๆ เพื่อจะข่มขืน แต่ยังไม่ทันได้ข่มขืนนะคะ”
“ตอนนี้หนูก็ยังเจ็บหน้าขาค่ะ ยิ่งเวลานั่งสมาธิก็จะเจ็บมาก จนแทบนั่งไม่ได้”
“ตอนนี้หนูอายุเท่าไหร่คะ”
“อายุ 26 ค่ะ”
“ที่จริงเมื่อ 7 สิงหาที่ผ่านมาน่ะ หนูตายไปแล้วละ เมื่อตอนที่หนูถูกฆ่าตายก็ 7 สิงหา เมื่ออายุ 26 ปีพอดี แต่เพราะหนูทำดี ทำบุญถือศีล ก็เลยเป็นการต่ออายุมาได้ ไม่งั้นก็ตายไปแล้ว”
“ที่จริงเวลาที่เจ็บปวดมากๆ หนูก็อยากตายเหมือนกันค่ะ แต่พอเห็นแม่ร้องไห้ก็เลยต้องอดทน แล้วก็พยายามเข้าวัดปฏิบัติวิปัสสนา สมาทานศีล”
“หนูนั่งสมาธิได้ใช่ไหมคะ”
“ได้ค่ะ บางทีก็เห็นผู้ชายตัวดำๆ ร่างใหญ่ กำลังจะฆ่าหนู”
“นั่นแหละค่ะ คนเลวพวกนั้น และที่เห็นได้ก็เพราะเป็นดวงจิตดวงสุดท้ายก่อนที่จะตาย ยังมีสัญญาคือความทรงจำที่ติดมาในชาตินี้ คนที่นั่งสมาธินี่บางคนก็เห็นได้อย่างที่แม่ชีเห็นนะคะ แต่เห็นแล้วจะทำยังไงเท่านั้น”
ตัวของเรา-จิตของใคร
“แล้วเวลานั่งสมาธิ นอกจากจะเจ็บหน้าขาแล้ว หนูยังรู้สึกหนาวเหมือนตัวเองแช่น้ำแข็งด้วยนะคะ”
“อันนี้ไม่ใช่จิตของหนูหรอกค่ะ แต่เป็นจิตของคนที่เคยจมน้ำตายมาอาศัย หนูเคยไปเมืองกาญจน์ใช่ไหมคะ”
“ไปเมื่อหลายปีมาแล้วค่ะ”
“นั่นละ...เขามาอาศัยอยู่ หนูเลยมีจิตเดิมที่เป็นของเราเองที่ทำให้ปวดหัวเจ็บหน้าขา และจิตที่สอง ก็คือรู้สึกหนาวข้างใน คนเราบางคนที่เป็นหลายๆ โรค อย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคไต อะไรพวกนี้ บางทีไม่ใช่โรคของเราทั้งหมดหรอกค่ะ ไม่งั้นก็คงตายไปแล้วละ มันเป็นโรคที่ติดมากับจิตที่มาอาศัยหรือเป็นกรรมเกาะติดเราอยู่น่ะ”
“แล้วหนูจะมีวิธีหลุดพ้นหรือเปล่าคะ หนูอยากจะพ้นจากกรรมพวกนี้ ก็จะได้หายจากความเจ็บปวดทรมานซะที”

กรรมที่ไม่ได้ก่อ
“มีซิคะ...การที่หนูทำดี เข้าวัดทำบุญรักษาศีล นี่เป็นเหมือนวิธีสร้างทุนให้เกิดผลบุญ ในการต่ออายุเราได้ ต่อไปหลังจากสวดมนต์รักษาศีล สมาทานศีล แล้วก็นั่งสมาธิ เจริญภาวนาว่าจิตตัวสุดท้ายของข้าพเจ้าเคยเป็นทุกข์ด้วยโรคอะไร เหตุอะไร ถ้าเคยเป็นผู้ถูกกระทำ ข้าพเจ้าขอไม่จองเวร ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ ก็ขออโหสิกรรมและขออุทิศส่วนกุศลให้”
ไม่ใช่เฉพาะโยมคนนี้นะคะ ผู้อ่านบางคนที่มีโรคภัยอันหาสาเหตุไม่ได้ รักษาด้วยวิธีการต่างๆ แล้วไม่หาย ก็น่าจะลองใช้วิธีนี้ แม่ชีไม่ได้ปฏิเสธการแพทย์สมัยใหม่หรือตัวยาที่ทันสมัยนะคะ แต่การแพทย์ก็ยังมีแพทย์ทางเลือกเลยค่ะ การบำบัดด้วยการแก้กรรมนี้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งไม่มีความเสีย

.....
จากหนังสือ ชีวิตติดกรรม