Monday, November 19, 2012

กินรังนกก็มีกรรม

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องของ อาหารเชิงยาที่เรียกว่า "รังนกนางแอ่น"


เป็นที่รู้กันดีว่านกนางแอ่นนั้น เป็นนกเล็กตัวเท่านกกระจอก

มีความน่ารักตรงที่เมื่อจะวางไข่จะจับคู่สร้างรัง และมีความน่าอัศจรรย์

คือ........จะสร้างรัง โดยการถุยน้ำลาย หรือขากเสลดออกมา

ลองนึกภาพว่าถ้าเราต้องถุยน้ำลาย และขากเสลดจนเป็นห้องให้เราเข้าไปพักได้

มันเหงือกแห้ง และเจ็บคอแค่ไหน



แต่แล้วมนุษย์ตัวใหญ่สมองดี ก็ได้ไปแคะทำลายรังมัน ออกมาเอามาต้มกิน

กล่าวคือกินคราบน้ำลาย เสลดแห้งๆ ของนกเพื่อสุขภาพดี สวย และไม่แก่

(ดังโคตรสะนาที่เราเห็นกัน) แต่จะมีกี่คนที่ทราบว่า รังที่ดี (เพื่อการกิน) คือ

รังที่ทำเสร็จใหม่ๆ เพราะนกยังไม่เข้าไปออกไข่และกกไข่ ดังนั้นจะสะอาด

ไม่มีเศษขนเศษมูล และจะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าในหมู่ผู้นิยมกินรังนก

นั่นยังไม่ใช่รังนกที่ดีที่สุด…..รังนกที่ดีที่สุดคือรังนกเกรดเลือด

รังนกเกรดเลือด จะมีราคาแพงมาก เพราะรังนกนั้นจะเจือสีแดงของเลือดนก



ถามว่าทำไมและคืออะไร



เรื่องโหดได้เริ่มที่…..เมื่อนกพ่อแม่ รู้ว่าตัวแม่กำลังจะวางไข่ นกจะขากถุย

ออกมาทำรังจนได้รังมา เรียกว่าเมื่อเมียท้องก็รีบสร้างบ้านเพื่อครอบครัว

แต่แล้วก็มีคนมาขโมยรังมันไปหน้าด้านๆ นกเหล่านี้ไม่อาจจะไปเรียกร้อง

ตำรวจมาจับขโมยได้ ได้แต่ก้มหน้าขากถุย ใหม่ทำรังต่อไป



แต่แล้ว...........ชีวิตเศร้ายิ่งกว่าละครหลังข่าวก็เริ่มขึ้น เมื่อโดนคนมาขโมย

บ้านไปอีก ทีนี้...ตัวเมียจะเข้าใกล้กำหนดคลอดขึ้นทุกที



สิ่งเดียวที่พวกนกทำคือ เริ่มต้นถุยน้ำลายสร้างรังใหม่ และมันก็ถูกขโมยรัง

เมื่อทำเสร็จ เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนแม่นกต้องออกไข่



เวลานี้ครอบครัวนกต้องเร่งคายเสลดออกมาเพื่อทำรัง ลองนึกแทนว่าถ้า

เราต้องขากถุยทั้งวันตลอดสัปดาห์อะไรจะเกิดขึ้น.....นั่นคือเหตุที่ทำให้

เลือดปนออกมากับน้ำลายจนรังกลายเป็นสีแดง



ครอบครัวนก หวังเพียงว่าจะมีรังให้ไข่ที่กำลังจะเกิดอยู่รอมร่อ ได้ฟักเป็นตัว

โดยไม่รู้เลยว่านี่คือรังที่ราคาแพงที่สุด ที่ต้องโดนเก็บเป็นแน่



เมื่อเสร็จสิ้นทั้งพ่อนกแม่นกจะเสียเลือดมาก และเมื่อรังที่แลกด้วยเลือด

นี้โดนเก็บ สิ่งที่ตามมาเสมอ คือ การที่พ่อแม่นก และไข่ในท้องแม่นก

นอนตายอยู่ที่พื้นถ้ำ



ละครหลังข่าวเรื่องนี้ จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง โดยมนุษย์ที่เป็นตัวเอก

หน้าอ่อนกว่าวัย ส่วนตัวประกอบตายตอนจบ



ลองนึกภาพพ่อแม่ของเราสร้างบ้านให้ครอบครัว ขณะที่แม่กำลังท้องแก่

จะคลอดเรา และมีคนมายึดบ้านเรา พ่อแม่เราต้องไปสร้างบ้านใหม่

แล้วโดนยึดอีก ต้องสร้างใหม่อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า จนพ่อกับแม่ที่ท้องแก่

กระอักเลือด แล้วสุดท้ายโดนยึดบ้านอีก จนสุดท้ายตายทั้งครอบครัว



ยังหาละครหลังข่าวเรื่องไหนจะโหดร้ายเท่านี้ไม่ได้เลย

วิบากกรรม ของน้องอ้อม

วิบากกรรม ของน้องอ้อม

ใครไม่เคยดูรายการ “คนค้นฅน” ทางช่อง 9 เวลา 4 ทุ่มเศษ ทุกวันอังคาร ถือว่าเชย รายการอะไรไม่รู้ ช่างสรรหาเรื่องราวชีวิตของผู้คนในแผ่นดินมาตีแผ่เสนอได้น่าสนใจ ชวนติดตาม หลากหลายอารมณ์ซะเหลือเกิน

ที่เก่งเอามากก็คือแต่ละชีวิตที่ “คนค้นฅน” เอามาเสนอบนแผ่นฟิล์ม ก็แค่ชีวิตของคนธรรมดา เดินผ่านหน้าไปก็งั้น ๆ เห็นอยู่ทุกวัน แต่เมื่อไรที่ “คนค้นฅน” เอามาทำเป็นสารคดี ก็มักจะตรึงใจคนดูแทบทุกเรื่องราว นี่ละความเก่ง

ล่าสุด ตอน “เรื่อง...ของอ้อม” (ก่อนหน้านั้นก็เรื่องปู่เย็น...เฒ่าทระนง ที่ดังระเบิด)

เรื่องของอ้อมออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ดูแล้วบอกได้คำเดียว วิปโยค น้องอ้อมมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในสภาพทนทุกข์ทรมานปานนั้น ขอสารภาพเลย ไม่สามารถทนดูได้ ต้องเปลี่ยนไปดูช่องอื่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจ

แต่เรื่อง...ของอ้อม ยังติดตาติดใจไม่หาย แม้จนบัดนี้ จะช่วยเธอได้ยังไงบ้าง

“เรื่อง...ของอ้อม” หลายคนอาจเคยผ่านตาจากรายการเจาะใจมาบ้าง ดูแล้วก็สงสาร แต่ไม่บีบหัวใจขนาดนี้ ต่อเมื่อ “คนค้นฅน” เอามาถ่ายทอดให้เห็นถึงชีวิตในแต่ละวัน บอกไม่ถูก แต่ไม่อยากดูต่อ มันทรมานใจมาก

นี่หรือชีวิต

ทำไมน้องอ้อมต้องมีชะตากรรมเช่นนี้ เป็นเพราะกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนตามที่ผู้รู้หลากหลาย ๆ

ที่มีอภิญญาได้ให้ความเห็นว่า จากการกระทำปาณาติบาติต่อปลาเล็กปลาน้อยจำนวนมาก

ในอดีตชาติ ของอ้อม ซึ่งได้ประกอบอาชีพค้าปลาเผา ที่มีชื่อเสียง ได้ฆ่าปลาสด ๆ

วันละกว่า 100 ตัว ต่อเนื่องมาเป็น สิบ ๆ ปี จนสร้างฐานะร่ำรวย ทำให้ น้องอ้อมต้อง


ประสพเคราะห์กรรมอันใหญ่หลวงในชาตินี้ ได้ ป่วยเป็นโรคผิวหนังแห้งแข็ง


ทั้งร่างที่แคระแกร็นเต็มไปด้วยแผลพุพอง ไปหมด มีหนองและเลือดซึมออกมาด้วย

นี่หรือชีวิต ชีวิตที่มีลมหายใจ

โชคดีที่น้องอ้อม มี “คุณน้าผู้หญิง” ที่จิตใจงดงามยิ่งกว่านางฟ้าคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ


เอาเธอไปแช่น้ำยาทำความสะอาด เช็ดฉี่ เช็ดอึให้อย่างไม่รังเกียจ จะหาได้ที่ไหนในโลกได้อีก


เพราะพ่อแม่ก็ไม่ใช่เป็นแค่น้า

ที่ดูแล้วอึ้งก็คือนางฟ้าของอ้อม ต้องเอาคีมช่วยคีบสะเก็ดหนังที่เปื่อยยุ่ยเป็นหนองออกจาก


ร่างกายของอ้อมบ่อย ๆ ที่เห็นคืนนั้นเป็นสะเก็ดบริเวณหนังศีรษะ คีบไป น้ำตาอ้อมไหลอาบแก้ม


ทำไมเจ็บอย่างนี้ ทนอีกนิด ใกล้จบแล้ว

มันบีบหัวใจ

เสียงน้องอ้อม ที่จริง กังวานใส ผิดกับความทุกข์ทรมานที่เธอเผชิญอยู่สิ้นเชิง และน้องอ้อม

ก็ดูมีกำลังใจเข้มแข็ง แต่สำหรับคนดู ไม่รู้เธอผ่านชีวิตแต่ละวันมาได้ อย่างไรเป็นสิบปี แค่ดู...ยังไม่ไหวแล้ว ทรมาน

จะมีหน่วยงานไหนช่วยเหลือน้องอ้อมอยู่บ้างก็ไม่ทราบ แต่อยากขอร้องให้กระทรวงสาธารณสุข


ของคุณหมอ สุชัย เจริญรัตนกุล ช่วยเข้าไปรับเป็นภาระโอบอุ้มดูแลด้านการรักษาพยาบาลอย่างถาวร

จะให้เข้าโครงการ 30 บาท หรือหาวิธีรับเป็นคนไข้พิเศษยังไง ก็ขอให้ช่วยเถอะ
และหากเป็นไปได้ อยากกราบ แม่ชี ศันสนีย์ เสถียรสุต ให้ช่วยน้องอ้อมอีกแรง ด้วยการพา


น้องอ้อมไปอยู่และให้ฝึกสมาธิภาวนา เผื่อว่าบุญกุศลจากการฝึก “ภาวนาสมาธิ”


จะช่วยผ่อนปรนความเจ็บทางกายของน้องอ้อมไปบ้าง

ถ้าเป็นไปได้ ก็จะเป็นพระคุณกับเธอที่สุด

ถ้าร่างกายเปรียบเหมือนเสื้อผ้าที่เราแค่ยืมมาใส่ตอนมีชีวิตอยู่และถอดทิ้งยามจากไป


เสื้อผ้าที่น้องอ้อมเอามาสวมใส่ ก็ช่างเก่าและเปื่อยยุ่ยจนน่าใจหาย เพราะแทบหาส่วนสมบูรณ์ไม่ได้

โปรดช่วยเมตตาน้องอ้อมด้วยเถอะ....

เวรกรรมมีจริงโปรดระลึกไว้เสมอจะช้าจะเร็ว จะหนักหนาสาหัสสากรรดังเช่นเรื่องราวของน้องอ้อม


และอีกหลากหลายบุคคล ๆ จะยากดีมีจนเศรษฐีหรือยาจก แล้วแต่บุญกรรมหนักหรือ


เบาดังที่ได้กระทำมา ทำให้รู้สึกใจคอไม่ค่อยจะดีและขยาดต่อการกระทำปาณาติปาติต่อ


เพื่อนร่วมโลกถึงแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวเล็ก ๆ ดังที่ผู้รู้ได้ให้ความเห็นข้างต้น

‘ดาวประกายพรึก

-----------------------------------------
ต่อตอน 2

อาการป่วยของอ้อมจนถึงวันนี้ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 15 แล้วนะครับ ถึงอ้อมจะบอกว่า


โลกของหญิงสาวในวัย 23 ปีของอ้อม จึงแตกต่างกับหญิงสาวในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง


ทุกวันอ้อมต้องลืมตาขึ้นมาเผชิญกับความเจ็บปวดจากแผลที่มีอยู่ทั่วตัว แต่อ้อมก็ยังมีชีวิต


อยู่ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว จนชายอกสามศอกแทบจะต้องน้อมคารวะ กำลังใจที่ทำให้อ้อมยืนหยัด


อยู่บนโลกใบนี้ได้ก็คือความรักจาก ตา ยาย และน้องสาว แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจอ้อมยังแข็งแกร่ง


และมีลมหายใจอย่างมีความหวังเพื่อวันพรุ่งนี้ ก็คือการรอคอยการกลับมาของแม่ คนค้นคนคืนนี้


ก็คือการพบกันของหัวใจสองดวงที่อยู่ไกลกันในความหมายของระยะทาง แต่อยู่แนบชิดกันในเชิงของความรักก


ความผูกพัน และอาจหมายถึงความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ แม้ว่าอ้อมจะแบกรับความทุกข์ไว้เต็มทั้งสองบ่า


แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ก็กล้าและแกร่งพอที่จะลุกขึ้นมาเป็นเสมือนแสงดาวส่องสว่างนำทางชีวิตให้กับคนที่


กำลังตกอยู่ในคืนวันอันมืดมิด ถึงแสงดาวนี้อาจไม่ใช่แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง แต่ก็มีพลังมากพอที่จะหล่อเลี้ยง


หัวใจของใครบางคนที่ความหวังกำลังเหือดแห้ง เรื่องราวของอ้อมคงทำให้ใครหลายคนเห็นคุณค่าของชีวิต


และย้อนกลับมาดูความหมายของการมีชีวิตอยู่ ว่าบางครั้งการมีชีวิตอยู่ ก็ม่ใช่การมีชีวิตอยู่เพื่อความสุขของตนเอง


หากแต่หมายถึงการมีชีวิตอยู่เพื่อแบ่งเบาทุกข์และปันสุขให้กับคนที่เรารัก จากความเห็นของท่านผู้รู้ หลาย ๆ ท่าน


ที่ได้อภิญญาญาณสมาบัติ หรือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหยั่งรู้อันทำให้ระลึกภพที่เคยอยู่ในหนหลังได้ )


ได้บอกกล่าวว่าเป็นกรรมเวร เก่า ที่น้องอ้อมได้เคยกระทำปาณาติบาตต่อ สัตว์น้ำน้อยใหญ่มาเป็นแรมปี ๆ



ในอดีตชาติ สร้างความมั่งคั่ง ร่ำรวย จากการเป็นแม่ค้าขายปลาสดเผา ที่มีชื่อเสียง แต่ปางก่อน
ความน่าสะพรึงกลัวใน กรรม เวร ได้ส่งผลต่อน้องอ้อม ในชาติปัจจุบัน อย่างน่าเวทนา ทุกข์ยากแสนสาหัส
ตราบใดที่ ยังไม่ก้าวพ้นผ่าน วฎสงสาร ชีวิตที่ยัง ต้องเวียนว่ายตาย เกิด ไม่ควรประมาทในอกุศลกรรม


ลด ละจาก บาปกรรมชั่ว มั่นคงในศีล หมั่นสร้างแต่กุศล กรรม มีทาน ศีล ภาวนาอย่างสม่ำเสมอ

ข้อมูล จาก หนังสือ กฎแห่งกรรม

สิ่งที่ฉันได้รับจากการยุ่งกับการทำแท้ง!!

สิ่งที่ฉันได้รับจากการยุ่งกับการทำแท้ง!!

.... ก่อนอื่นขอบอกว่าที่นำเรื่องนี้มาเป็นกระทู้ ดิฉันได้สำนึกผิดแล้วและจะไม่ยุ่งกับมันอีก .. และอยากเอาเรื่องของตัวเองเพื่อเป็นสิ่งที่จะชี้ให้พวกท่านทั้งหลายได้รู้ว่า "กรรมทันตา" เป็นยังไง ... และ เพื่อเป็นธรรมทานแด่ทุกท่าน
... ตอนนี้ดิฉันอายุ 34 ปี แต่เรื่องเกิดตอนดิฉันอายุ 19 ปี ตอนนั้นดิฉันได้มาเรียนที่ราชภัฏแห่งหนึ่ง และ อาศัยอยู่กับคุณตาเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ รู้จักกันทั่ว ดิฉันมีเพื่อนรักอยู่หนึ่งคนมีไรก็ช่วยเหลือแบ่งปันกันเสมอ แต่เขาอายุน้อยกว่าดิฉัน 2 ปี ไม่ได้เรียนหนังสือสูงนัก ฐานะยากจนเราเป็นญาติห่าง ๆ กันด้วย .. เพื่อนดิฉันรักกับชายคนหนึ่งซึ่งที่บ้านเขามีฐานะดีคนหนึ่งคบกันจนฝ่ายหญิงเกิดตั้งท้องโดยที่ฝ่ายชายไม่รู้ เรานั้งปรับทุกข์กันเรื่องปัญหาความรักกัน .. แล้วอยู่ ๆ เขาก็บอกว่าเขากำลังท้องได้จะสามเดือนแล้ว ดิฉันอึ้งไปซักพักไม่รู้จะทำไง .. แต่เพื่อนฉันตกลงจะเอาเด็กออก และ ขอให้ดิฉันช่วย .. ยอมรับว่าตอนนั้นคิดเรื่องบาปบุญไม่ถึงหรอกคะ คิดแต่สงสารเพื่อนเพราะบ้านฝ่ายชายรังเกียรติมาก ๆ เลยเอาตังค์ที่มีไม่มากพาเพื่อนไปซื้อยาสตรีมากิน .. แล้วพอวันถัดมาเพื่อนคนนั้นก็แท้งลูกเลือดออกเยอะมาก ดิฉันเดินไปบ้านเพื่อนหลายรอบมากเพราะเป็นห่วง .. จนทนไม่ไหวไปบอกฝ่ายชายว่าเพื่อนดิฉันท้องกับเขา .. เขาเสียใจบอกว่า "ทำไมไม่บอกพี่ เมียพี่พี่รักลูกพี่พี่ก็รัก .. ไม่น่าทำแบบนี้เลย"

... หลังจากที่แท้งได้เจ็ดวัน ดิฉันก็โดนผีอำคะปกติก็โดนมาตั้งแต่เด็กแล้วละคะชินแล้ว .. แต่ครั้งนี้น่ากลัวมากเพราะเด็กเขามาคะ .. เขาอาฆาตรมากเขาโกรธมาก .. ดิฉันกลัวมากไปเล่าให้เพื่อนฟังมันบอกว่า "เด็กผู้หญิงใช่ไหม๊ .. มันมาร้องไห้ข้างกูตั้งแต่ยังไม่สามวันเลย " ดิฉันตกใจมาก

.. หลังจากนั้นเขาก็ได้อยู่ด้วยกันมีลูกผู้ชายอีกสองคน .. คนแรกเกิดมาก็ขี้โรค .. คนที่สองค่อยดีหน่อยแข็งแรง .. แต่เพื่อนดิฉันท้องกับคนนี้ "สี่ครั้ง" คะ เพราะอีกคนแท้งโดยไม่รู้ตัวอันนี้แม่เด็กบอกมา ครอบครัวนั้นก็อยู่กันไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ .. ทุกวันนี้ก็เลิกรากันไปแล้วแบ่งลูกกันคนละคนคะ

.. ส่วนตัวดิฉันก็ต้องท้องก่อนจบแต่ไม่ทำแท้ง .. ไม่คิดแม้จะทำเมื่อรู้ว่าตัวเองมีเด็ก .. แต่ชีวิตเจอแต่ความยากลำบากสารพัด แต่ก็ดั้นด้นจนเรียนจบและได้ไม่เคยตกงานนานเลย .. เพียงแต่มีอุปสรรคเยอะมาก .. ชีวิตครอบครัวก็มีปัญหาเรียกได้ว่า "หาความสุขได้ยากมาก" ส่วนเรื่องร่างกายก็เกิดเป็นโรคคะ "มดลูกต่ำ" คือ จะเป็นตกขาวทีละเยอะ ๆ แต่ไม่เหม็นนะคะ ต้องกินยาตลอด .. หรือ ถ้าไม่เป็น ก็จะมีน้ำไหลออกมาจนทุกวันต้องใส่ผ้าอนามัยไว้ ไปหาหมอก็ไม่หาย จนไปวัดข่อยกลางแถว ๆลพบุรี พระท่านทักว่า "โยมเคยทำแท้งมารึเปล่า" โดยเขียนใส่กระดาษ ท่านบอกว่ามีเด็กผู้หญิงนั้งข้าง ๆ โยม .. แล้วได้ไปบนบานที่ไหนไว้ไหม๊ อาตมาเห็นเป็นเจ้าเป็นเทพเดินตามโยมแต่ไม่เข้ามาในศาลา .. แล้วท่านก็แนะนำให้ไปบวชไปทำบุญเยอะ ๆ จะช่วยได้ แต่เด็กคนนั้นเขาอายุยืนถ้าเขาได้เกิดแต่เพราะโยมทำร้ายเขา ถ้าไม่ใช่โยมทำเขาจะไม่ตาย เขาจึงติดตามโยมกับแม่เขาไม่ปล่อยและจะซ้ำทุกครั้งที่โยมดวงตก.. และ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็จะเข้าวัดทำบุญมากขึ้น ทำทุกอย่างที่เป็นบุญเพื่อชดเชยให้เขาไป .. ทุกครั้งที่ดิฉันเจอเรื่องร้าย ๆ ก้จะบอกตัวเองเสมอว่า "แม่ขอโทษ"

.. ล่าสุดเมื่อปีที่แล้วมีหมอดูแขกทักว่า มีเด็กเขาจะทำร้ายดิฉันเขาจ้องอยู่แต่ทำไม่ได้ เขาจะทำลูกชายดิฉันแทนให้ดิฉันทำบุญสะเดาห์เคราะห์กับเขา .. แต่วันนั้นดิฉันไม่ได้ทำ เขายังบอกว่าไม่เกินหนึ่งเดือนลูกดิฉันจะป่วยหรืออาจมีอะไรแย่กว่านั้น .. เชื่อไหม๊คะว่าไม่ถึงเดือนลูกดิฉันต้องเข้าโรงบาลกระทันหันเพราะ "ไส้ติ่งอักเสบ" เป็นไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดิฉันต้องร้องไห้แทบกราบพยาบาลช่วยตามหมอให้ทีเพราะลูกดิฉันช็อคไปหลายครั้งแล้ว (เขาเอาลูกดิฉันนอนกับพื้นเอาเบาะปูให้นอนเพราะเตียงไม่พอ) อ้อ ลืมไปตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมาก็ขี้โรคคะ ป่วยตลอดนึกว่าจะไม่รอดแล้วสะอีก มันทำให้ดิฉันรู้สึกผิดเรื่อยมา รอแค่ว่าเมื่อไหร่เขาจะอภัยให้ดิฉัน

... ทุกวันนี้ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมาก ๆ ไม่รู้สึกหวาดกลัวแล้ว .. ทุก ๆ วันจะพยายามทำอะไรก็ได้ที่เป็นบุญเพื่อชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรทุกท่าน เผื่อว่าสักวันเขาจะให้โอกาสดิฉันได้ทำความดีต่อไปนาน ๆ

.. หวังว่าทุกคนจะได้ข้อคิดไม่มากก็น้อยจากเรื่องนี้นะคะ ตอนนี้โรคที่เป็นก็ดีขึ้นอย่างประหลาดคะ ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น ฐานะทางการเงินการงานก็ดีขึ้นคะ

ทีมา
http://board.palungjit.com/f8/สิ่งที่ฉันได้รับจากการยุ่งกับการทำแท้ง-375556.html

กรรมใหม่เกิดขึ้นได้อย่างไร

กรรมใหม่เกิดขึ้นได้อย่างไร

ผมขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่าเรื่องที่ผมจะเล่านี้เกิดขึ้นกับผมจริงๆ และผมก็ไม่ได้หวังอะไรจากเรื่องนี้กับทุกคน แค่อยากจะเล่าให้ฟังในสิ่งที่ผมได้รู้มาอาจจะเหลือเชื่อแต่ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยลองคิดตามว่ามันเป็นจริงหรือไม่อย่างไร
 

มาเริ่มเรื่องกัน มีวันหนึ่งเป็นวันก่อนออกพรรษาหนึ่งวัน ผมนอนอยู่คนเดียวผมก็นึกสงสัยอยู่อย่างว่าถ้าคนเราเกิดมาตามเวรตามกรรมเราทำมา และทุกสิ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วกรรมใหม่ๆที่นอกเหนือจากกฎแห่งกรรมมีไหม แล้วเกิดจากอะไร
 

ผมตั้งจิตสมาธิแล้วถามไปถามๆส่งๆไปงั้นไม่คิดว่าจะมีใครตอบหรอก แต่เหลือเชื่อ
 

อยู่ดีๆคำตอบก็กระจ่างขึ้นมากลางจิตสำนึกของผมว่า "ความอยาก" ผมก็ลองมานั่งพิจารณาความอยากมันเกี่ยวไรหว่า นั่งตรองอยู่สักพักก็เลยรู้ "กิเลสทุกอย่างมันอาศัยความอยาก"ของเรานี่เองทำกรรมต่างๆไม่ว่าจะดีจะชั่วความอยากพาไปทั้งนั่นเลย ยกตัวอย่างความโกรธ ก็ความอยากเอาชนะอยากอยู่เหนือคนอื่นนั่นล่ะพาให้เกิดความโกรธแล้วสร้างกรรมใหม่ๆขึ้นมากัน ถ้าเรายอมคนอื่นซะอย่างความโกรธไหนเลยจะเกิดได้จริงไหม เป็นต้น
 

แล้วต่อมาผมก็ตั้งจิตถามไปอีกว่าแล้วจะหยุดความอยากได้ไง สิ่งที่ได้กลับมาคือรูปภาพในสมองคือ"ตราธรรมจักร" ผมก็มานั่งนึกอีกล่ะว่ามันเกี่ยวไรอีกกับตราธรรมจักร ตรองอยู่สักพัก ก็ได้รู้ว่า ถ้าเราอยากจะหลุดพ้นจากความอยากมีทางเดียวคือหลุดออกจากวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิดซะ
 

แล้วผมก็ไม่ได้ถามไรต่อ สิ่งที่ผมรู้มันน่าอัศจรรย์ยิ่ง ไม่รู้ผู้ใดมาบอกกล่าวดลใจของผมให้รู้คำตอบ ที่พิจารณาตามแล้ว สรุปว่ากระแสธรรมวันก่อนออกพรรษาแรงมาก
ผมเลยเอามาเล่าให้อ่านเฉยๆหรอก (เจริญในธรรม)
 
ที่มา
เว็บบอร์ดพลังจิต.คอม

ผลกรรมของผู้หญิงเข้าวัดแต่งตัวไม่สำรวม




ผู้หญิงที่เข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวมอวดเนื้อหนังให้พระหวั่นไหวต่อไปจะได้รับ

ผลกรรมอย่างไร...?

ขอบเขตของคำถามที่ว่า ‘แต่งกายไม่สำรวม’ เข้าวัดนั้น อาจทำให้เพ่งโทษคับแคบ ต้องค่อยๆ
มองให้คลุมข้อเท็จจริงตามลำดับครับ

โดยความเป็นเพศหญิง มีธรรมชาติดึงดูดใจ หรือล่อตาอยู่ในตัวเองเดินๆไปถ้าเป็นที่สนใจได้ก็ถือว่ามีรูปสมบัติอันพึงมีสมเพศตนถ้าวันไหนแต่งองค์ทรงเครื่องได้ถึงขนาดชายหญิงมองเหลียวหลังกันทั่วทุกหัวระแหงก็จะยิ่งภาคภูมิเต็มอิ่มประมาณเดียวกับที่นักวิ่งเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรกทีเดียว

ฉะนั้นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดีเกือบทุกคนจึงอดไม่ได้กับการอยากทดสอบเสน่ห์ของตนแล้ว
อะไรจะเป็นเครื่องทดสอบได้ดีไปกว่าผู้ประกาศตนว่าสละเรื่องทางเพศแล้วไม่สนใจเพศหญิงอีกแล้ว

สมัยนี้พระทั่วไปไม่ใช่เครื่องทดสอบที่น่าท้าทายอะไรนักเนื่องจากข่าวฉาวที่ประดังเข้าหูเข้าตาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แทบไม่เว้นแต่ละวันทำให้ผู้หญิงยุคใหม่มองพระไม่ต่างจากชายนุ่งกางเกงนอกวัดทั้งหลายหากทำให้สนใจได้ยังไม่ถือว่าแน่อะไรนัก เท่าที่ทราบจากคำให้การของสาวๆส่วนใหญ่จะรู้สึกสมเพชและนึกดูถูกพระที่ไม่สำรวมเพ่งเล็งตนด้วยสายตากรุ้มกริ่มตั้งแต่แรกเห็นยิ่งกว่าสมเพชและดูถูกผู้ชายทั่วไปมากเนื่องจากใส่เครื่องแบบที่ควรจะมีสง่าราศีเยี่ยงภิกษุผู้อิ่มแล้วแต่กลับทำตัวกระจอกไม่ต่างจากนักโทษที่หิวโซ

แต่หากกลับเป็นตรงข้ามถ้าเป็นพระชื่อดัง ที่มีคนร่ำลือว่าเป็นผู้สงบ เป็นผู้สำรวมการทำให้
ท่านสนใจได้ นับว่าน่าภาคภูมิใจเป็นพิเศษระดับความอยากให้สนใจก็ต่างๆกันไปตามพื้นความคิดความอ่านของผู้หญิงแต่ละคน
เท่าที่ได้ทราบจากปากของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งตั้งใจสละโลกและเข้าประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ เธอยอมรับว่ารู้สึกผิดและละอายคือพออยู่ๆในวัดไปแล้วอดไม่ได้เห็นชายที่เคร่งๆแล้วอยากลองเสียหน่อยว่าเขาจะทนเสน่ห์เธอไหวไหมในระดับของเธอ ก็จัดได้ว่ามีสติดีและยอมรับตามจริงมากพอที่จะเห็นแม้อาการตั้งใจเล็กๆน้อยๆของตน เช่นชม้ายตาหรือไม่มีอะไรเลยก็เดินด้วยความรู้สึกเป็นเป้าล่อความสนใจของผู้เคร่งในธรรมธรรมดาผู้หญิงที่เคยถูกจับจ้องมามากจะสำเหนียกรู้ได้ว่ากำลังมีผู้ชายสนใจตนอยู่หรือเปล่าและเป็นการแอบชำเลืองหรือเพ่งเล็งเขม็งเป็นความสนใจด้วยความชื่นชมหรือเจืออยู่ด้วยราคะและราคะนั้นถึงขั้นหื่นกระหายหมดรูปหรือว่าเป็นเพียงความวาบหวามแบบอ่อนๆ


หากทำได้ครั้งหนึ่งก็นึกยินดี หรือนึกภูมิใจว่าตนแน่ยิ่งพระที่ขึ้นชื่อว่าปลอดกิเลสเท่าไร ยิ่งอยากทำให้สนใจตนมากขึ้นเท่านั้นแต่หากปลูกฝังจิตสำนึกในทางละอายเอาไว้ก่อนก็จะรู้สึกผิดรุนแรงที่ทำเรื่องไม่งาม ไม่สมควร หรือบางคนยั่วให้สนใจสำเร็จเห็นพระทำตาหวานใส่ ก็พานเกลียดชัง พานสาปส่ง หมดความนับถือไปเลยไม่เหลือเกียรติให้ต้องเคารพกันอีก และไม่คิดหวนกลับไปทำบุญที่วัดนั้นตลอดชีวิตนี่นับเป็นความขัดแย้งในตัวเองที่น่าปวดหัว

ที่กล่าวมาคือหญิงผู้มีสำนึกในธรรมแล้วนะครับตั้งใจจะเดินบนเส้นทางสีขาวแน่นอนแล้วยังเจอเรื่องมิติมืดภายในตนเล่นงานให้ย่ำแย่เข้าได้ แล้วผู้หญิงธรรมดาโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับการรับรู้ข่าวคาวๆฉาวๆของพระล่ะ?

เท่าที่ทราบแนวโน้มของสาวรุ่นใหม่จะไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเครื่องแบบที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับเขตวัดถ้าเพิ่งเข้าวัดใหม่ๆหรือนานๆเข้าวัดทีจะนึกไม่ถึงว่าเสื้อยืดและกางเกงรัดรูปที่‘แต่งกันเป็นปกติ’ นั้นอาจมีความยั่วตายวนใจ และรบกวนตบะของพระสงฆ์ได้ง่ายๆ

แต่จะมีสาวอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จงใจแต่งตัวหวือหวาขัดกับสถานที่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น ไม่ว่าจะพระเณรหรือฆราวาสด้วยกันเข้าหลักถ้าอยากเด่นต้องทำตัวให้ไม่มีใครเหมือน เขาหลิ่วตาเราอย่าหลิ่วตามเขาแต่งขาวเราต้องแต่งดำ ผู้หญิงอื่นปกปิดเราต้องเปิดโปง

เอาเฉพาะเจตนาอันหนักแน่นข้อนี้นะครับถ้าแต่งตัวโป๊เพื่อล่อตาล่อใจเพศตรงข้ามในวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำด้วยความภาคภูมิใจและไม่สำนึกผิดภายหลังหญิงนั้นได้ชื่อว่าเพาะเชื้อแห่งความเป็นธิดาพญามารไว้ในตนแล้ว

การทำบุญสร้างความเป็นธิดาพญามารมีหลายระดับถ้าแจกแจงละเอียดยิบคงเป็นปึก ในที่นี้ขอแยกเป็นคร่าวๆให้เห็นภาพง่ายสุดคือ

๑) เมื่อถึงเวลาทำบุญ ก็ทำด้วยน้ำจิตเลื่อมใสของที่นำมาถวายเป็นการจัดหาของตนหรือตั้งใจร่วมสวดหรือฟังเทศนาธรรมด้วยอาการสำรวม ก็เป็นบุญที่มีกำลังมากหากเสน่ห์ที่นำมาโปรยในวัดมีกำลังอ่อน แค่ในระดับล่อตาล่อใจไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าถ้าสึกพระได้ถือว่าเจ๋ง อย่างนี้มีวิบากเป็นกระแสดึงดูดใจแต่เจือด้วยปัญหาร้อนใจในการคบเพื่อนต่างเพศ เพราะใครๆก็จ้องตาเป็นมันและมักเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ทางเพศเป็นหลักแต่กว่าจะกอบโกยประโยชน์จากเนื้อหนังไปได้เต็มอิ่ม กว่าจะรู้สึกจืดชืดก็เนิ่นนานแรมปี

เมื่อตายไป กำลังของบุญอาจเป็นแรงฉุดขึ้นสวรรค์ถ้าจิตไม่ผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัด ก็จะอยู่ในหมู่เทวดาที่เสวยบุญรื่นเริงเช้าค่ำตามปกติ แต่หากจิตผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัดก็จะไปอยู่ในหมู่เทวดาฝ่ายมาร มีใจขวางผู้ปรารถนาความหลุดพ้นเห็นใครประพฤติพรหมจรรย์เก่งๆก็อาจทุรนทุรายอยากลองของเช่นลองมาเข้าฝันแสดงภาพงามวิจิตรล่อใจเสียหน่อย ดูซิว่าจะเผลอหลุดฟอร์มไหมพร่ำละเมอเพ้อพกถึงนางในฝันได้ไหม

๒) เมื่อถึงเวลาทำบุญ ใจก็ยังวอกแวกคอยสังเกตว่ามีใครมองตนไหม เมื่อร่วมสวดมนต์กับคนอื่นก็ไม่ตั้งใจเมื่อฟังเทศนาธรรมก็ฟุ้งซ่านเรื่องแฟน อย่างนี้เป็นบุญที่มีกำลังอ่อนและเจืออยู่ด้วยราคะ หากเสน่ห์ที่นำมาโปรยในวัดมีกำลังกล้าแข็งถึงขั้นเห็นว่าถ้าสึกพระได้นับเป็นยอดหญิง อย่างนี้มีวิบากเป็นกระแสน่ารังเกียจไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าจับต้อง ตัวไม่เหม็นแต่ก็เหมือนเหม็นอย่างไรบอกไม่ถูกผู้ชายเข้ามาด้วยความหน้ามืดสถานเดียวและมักเป็นประเภทที่เสพสมครั้งเดียวแล้วเบื่อทันทีอยากทิ้งขว้างเหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้วทันที แทบไม่มีแก่ใจอยากแตะต้องต่อเว้นแต่รอให้หน้ามืดอีกทีคราวหลัง

เมื่อตายไปกำลังของบาปมักรั้งลงต่ำถึงอบายภูมิ อาจไปเป็นเปรตจำพวกอสูรยิ่งถ้าจิตผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัด ก็จะอยู่ในเขตอสุรกายใจทรามชอบเข้าฝันพระหรือชายดีๆ แสดงเป็นแต่ภาพลามกจกเปรต ล่อให้คิดถึงกามารมณ์และมักเป็นกามารมณ์ที่ผิด หรือสถานเบาถ้ามีวาสนาได้กลับมาเป็นมนุษย์ก็อาจมีความต้องการทางเพศสูง อย่างที่เรียกกัน (แบบผิดความหมายเดิม)ว่าเป็นฮิสทีเรีย อยากมีอะไรกับผู้ชายไม่เลือกหน้า เป็นต้น

สิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนคือถ้าผู้หญิงเข้าวัดโดยมีใจเจืออยู่ด้วยเรื่องทางเพศหรือเรื่องเกี่ยวกับการดึงดูดใจชาย เกิดใหม่มักจะเป็นหญิงอีกและห่วงเรื่องความดึงดูดใจของตนเป็นที่หนึ่งจะกระวนกระวายมากถ้ารู้สึกว่าตนเองขาดความดึงดูดใจ ไม่น่าชมได้เงินเดือนมามักถมลงไปกับเรื่องความสวยความงามเป็นหลัก

ทางที่ดีที่สุด ถ้าเริ่มเข้าวัดด้วยใจที่สะอาด ไม่มีเจตนาให้พระมาเพ่งพิศตนจะปลอดภัยที่สุดครับ การแต่งกายปกปิดมิดชิดก็เป็นการสะท้อนถึงเจตนาอันดีผมทราบว่าสุภาพสตรีหลายท่านมี‘ชุดปกติ’ รัดรูป ตอนเข้าวัดยากจะหา ‘ชุดปกปิด’ ได้เจอ อันนี้ขอแนะนำว่าหากทราบแน่ว่าต้องตามที่บ้านไปเข้าวัดประจำ ก็ควรหาซื้อ ‘ชุดพิเศษ’ มาเพื่อแสดงเจตนารมณ์อันดีในการเข้าวัดโดยเฉพาะครับ

ดังตฤณ
http://www.watthummuangna.com/board

เวรกรรมจากการไปเบียดเบียนคนอื่น

เวรกรรมจากการไปเบียดเบียนคนอื่น

สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมใคร่อยากจะเล่าเรื่องเวรกรรมที่เกิดขึ้นจริงของผมนั้น ซึ่งเวรกรรมครั้งนี้ อาจเป็นบทเรียนสำคัญของผมเลยก็ว่าได้ และสิ่งที่สำคัญที่ผมได้รู้จากบทเรียนครั้งนี้ คือเรื่องของ"เวรกรรม"ที่ได้ตามสนองผมแล้ว

ณ ปัจจุบัน ผมเป็นเด็กนักเรียนม.ปลายของรร.แห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพฯ ในสมัยม.ต้นนั้น ผมเคยทำกรรมไว้มาก กรรมที่มีเจตนาก่อ และกรรมที่ไม่มีเจตนาก่อ
ในช่วงม.ต้น เป็นช่วงที่สนุกสนานที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะมีแต่เพื่อนที่เฮฮาเข้ามา และรู้สึกว่าชีวิตช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีค่ามากทีเดียว ได้ไปเที่ยวอย่างอิสระเสรี (โดยเพื่อนในกลุ่มส่วนมากมักจะเป็นผู้หญิงนะครับ) โดยเพื่อนส่วนมากนั้น ก็จะตั้งใจเรียนมากๆ แต่มีเพื่อนคนนึงที่ผมเห็นเป็นคู่แข่งทางการเรียนมาโดยตลอด เราสนิทกันมาก แต่ในใจผมก็แอบอิจฉาน้อยๆที่เขาก็เรียนเก่งพอๆกับเรา

จนกระทั่งวันนึง เพื่อนคนนั้นเขาก็ได้หยุดเรียนไปวันนึง วันต่อมาเขาขอยืมหนังสือเรียนของผมกลับไปลอกที่บ้าน ผมก็ได้ให้ไป หลังจากนั้นเขาก็ได้หยุดบ่อยขึ้น และยืมหนังสือของเพื่อนคนอื่นกลับไปอ่านบ้าน จนเพื่อนหลายคนเกิดความโมโหและมองว่าเพื่อนคนนี้เห็นแก่ตัวมากไปแล้ว (เนื่องจากคิดว่า เอาหนังสือกลับบ้านไป แล้วคนอื่นจะเอาอะไรอ่าน) รวมถึงผมด้วยที่คิดเช่นนั้น และด้วยความที่เป็นคู่แข่งกัน จึงทำให้เกิดอคติในใจที่เกิดขึ้น มากขึ้นๆ จนกลายเป็นความเกลียดชัง พวกผมจึงรุมแบนอย่างเงียบๆ จนเรื่องมันบานปลายเข้า แม่ของเขาก็ได้มาที่รร.แล้วต้องการเคลียร์ให้เรื่องมันจบๆ โดยที่ผมก็เหมือนกับเป็นเสมือนหัวโจก (เพราะเป็นผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม) ก็ยอมให้อภัย แต่ในใจลึกๆ นั้นก็ยังเคืองและอยากจะแก้แค้นเป็นธรรมดาของสัตว์โลก ผมก็นัดกับเพื่อนในกลุ่มไม่ให้คุยด้วย ไม่ให้สนใจ หรือใส่ใจว่าจะเป็นยังไง ซึ่งทุกคนก็ให้ความร่วมมือ โดยที่เพื่อนคนนี้ ก็เหมือนโดนปล่อยเกาะ ไม่มีใครใส่ใจ อยู่โดดเดี่ยวเรื่อยมา เวลากินข้าวเขาก็นั่งคนเดียว ไปไหนมาไหนก็คนเดียว ซึ่งทุกคนก็ต่างไม่สนใจว่าจะเป็นอย่างไร แต่ทุกคนนั้นก็รู้สึกสะใจที่เขาจะต้องรู้รสชาติของความเห็นแก่ตัวบ้าง

ซึ่งสิ่งที่เพื่อนผมเขาเป็นอยู่ ณ ขณะนั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตม.ปลายของผมครับ ด้วยการที่ม.ปลาย ก็จะต้องมีการเปลี่ยนห้องกันใหม่ แยกสายกันเรียน ในช่วงแรกนั้นผมก็มีกลุ่มเพื่อนใหม่ (แต่เราอยู่คนละห้องกัน) ที่มีเพื่อนเก่าคนนึงอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย โดยผมก็มีความสุขมากในช่วงนี้ รู้สึกว่าช่วงม.ปลายนี้ มีความสุขมากกว่าม.ต้นเสียอีก แต่ความคิดนี้ก็พังทลายลงอย่างราบคาาบ ในวันนึง ผมเกิดความขัดแย้งกับเพื่อนเก่าในกลุ่มนี้โดยที่ผมเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเป็นมาอย่างไร ด้วยความที่ผมเป็นคนเฉยๆ จึงไม่ได้เข้าไปพูด ด้วยสาเหตุนี้ การไม่ได้พูดนานๆ จึงเป็นเหมือนการงอนกัน เมื่อต่างคนต่างไม่ง้อก็เหมือนโกรธกัน และเมื่อนานๆเข้า มันก็เกลียดกันและเป็นศัตรูกันโดยปริยาย

ในช่วงแรกนั้น ผมนั้นเหมือนกับเพื่อนที่โดนทิ้งในช่วงม.ต้นเลย ผมนั่งกินข้าวคนเดียว ไปไหนมาไหนคนเดียว กลับบ้านคนเดียว มันเป็นเวลาที่แย่ที่สุดเลยก็ว่าได้ มองไปทางไหน เห็นคนมีเพื่อนและเพื่อน แต่เรากลับโดดเดี่ยวไม่มีใครสนใจ ด้วยความที่เป็นคนแข็ง จึงไม่เคยร้องไห้สักครั้ง แต่ในใจนั้นมันช้ำจนรู้สึกว่า น้ำตามันไหลจนท่วมภายในใจแล้ว ความรู้สึกของผมคือมันอึดอัด มันทรมาน เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยก็ว่าได้ มันจุกมาก ซึ่งผมก็ได้เห็นและได้รู้ด้วยตนเองว่า "เวรกรรมมันมีจริง"และพร้อมที่จะสนองให้เห็นผลของการกระทำว่า คนอื่นเขาเป็นอย่างไร เราก็จะต้องได้รับรู้รสชาติของการกระทำของเรา

ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ทุกข์มากที่สุดของผม ตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ ผมใช้เวลาถึง 7 เดือนในการทำใจต่อกรรมที่ตอบสนองในครั้งนี้ ทุกสิ่งที่เลวร้ายมันผ่านเข้ามาในชีวิตผมในช่วงนี้ทั้งสิ้น ผมมืดแปดด้านมาก มองไปทางไหนก็ไม่เห็นแสงสว่าง

ผมได้พบกับเพื่อนคนนั้น (ซึ่งได้คืนดีกันนานแล้ว) ผมได้เล่าถึงผลกรรมทั้งหมด ซึ่งเพื่อนคนนั้นก็เข้าใจ และได้อโหสิกรรมให้ผม ผมมีความรู้สึกเสียใจที่เคยกระทำกรรมไม่ดีไว้กับเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมาก และผมก็ยอมรับความผิดที่ผมได้ก่อเอาไว้ ซึ่งทำให้คนอื่นต้องทุกข์ใจ จนในที่สุดผมก็ได้ตัดสินใจสวดมนต์ทุกคืน นั่งสมาธิ พึงมีสติอยู่เสมอ ซึ่งเสียงสวดมนต์และพระธรรมก็สามารถเยียวยาสิ่งเลวร้ายต่างๆ ให้มันคลี่คลายให้เบาบางลงไปได้

ถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบัน ผมกับเพื่อนกลุ่มนั้นก็ยังไม่ได้คืนดีกัน แต่สิ่งเลวร้ายเหล่านั้นได้เบาบางลงไป และได้ผ่านมาแล้ว 2 ปี ซึ่งผมก็ยังถือว่ามันเป็นบทเรียนสอนใจอันสำคัญ ให้มีสติระลึกอยู่เสมอ ว่าเราไม่ควรที่จะเบียบเบียน ควรทำแต่ความดี และทุกคนที่ได้ทำให้ผมทุกข์ใจนั้น ผมก็ขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อไป


ครับ สุดท้ายนี้ ก็ขอให้ชาวพลังจิตทุกท่านหมั่นรักษาศีลธรรม หมั่นทำความดี และเข้าสู่พระนิพพานนะครับ สวัสดีครับ
 
ที่มา
http://board.palungjit.com/f8/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99-376139.html

ทำไมเกิดมาไม่เหมือนกัน

ทำไมเกิดมาไม่เหมือนกัน

การที่คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เช่นบางคนฉลาด บางคนโง่ บางคนรูปร่างงาม บางคนตรงกันข้าม บางคนเกิดในตระกูลตํ่า บางคนเกิดในตระกูลสูง เมื่อถามว่า
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ถ้าตอบแบบวิทยาศาสตร์ ก็ตอบว่าการที่ฉลาดหรือโง่ ร่างกายสมประกอบหรือไม่ จนหรือมั่งมี ก็เพราะไปเกิดในมารดาบิดาที่มีเหตุแวดล้อมดี เลวผิดกัน ความเป็นไปจึงผิดกันเป็นอันว่าบิดา มารดา ถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ให้ด้วย เหตุแวดล้อมประกอบด้วย จึงเป็นเช่นนั้น จึงเป็นอันว่าตอบด้วยหลักพันธุกรรมและเหตุแวดล้อม

คราวนี้ถ้าถามต่อไปว่า เหตุไฉนเล่าจึงไปเกิดเป็นลูกของคนมีบ้าง จนบ้าง มีส่วนประกอบทางกายและจิตใจสมบูรณ์บ้างบกพร่องบ้าง ทำ ไมจึงต่าง ๆ กันไป ทำไมจึงไม่เกิดในที่ดี ๆ เหมือนกันหมด ในที่สุดก็จะต้องซัดให้ความบังเอิญ แต่ในปัจจุบันเราเลิกทฤษฎีบังเอิญกันแล้ว ทุกสิ่งต้องมีเหตุผล ไม่ใช่บังเอิญ บังเอิญเป็นคำ ที่เราใช้กันในเมื่อยังหาเหตุผลไม่ได้เท่านั้น

ทางพระพุทธศาสนาสอนว่า กรรม คือการกระทำ ในชาติก่อน ได้จัดสรรเสร็จ ให้ไปเกิดในฐานะนั้น ๆ ได้รับการถ่ายทอดทางกายดีหรือเลว ได้ประสบสิ่งแวดล้อมดีหรือเลว แล้วแต่กรรมนำไป ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง ทุกคนสร้างตัวเอง ด้วยการกระทำ ของตน ในกรณีเช่นนี้เราจะไม่ไปโทษคนโน้นคนนี้ว่าสร้างเราไม่ดี แต่เราจะสร้างตัวเราใหม่ในชาตินี้ด้วยการทำ ดี อบรมให้เกิดอุปนิสัยใจคอที่ดีงามได้ตามประสงค์ อาจมีผู้แย้งจะให้เห็น ด้วยตาตามเคยว่า กรรมรูปร่างเป็นอย่างไรจึงจัดสรรได้ และติดตามคนได้

ข้อนี้เปรียบด้วยพลังงานซึ่งติดไปกับลูกศรเวลายิงไปในอากาศ ลูกศรแล่นไปเรื่อย ๆ นั้นเราเห็นพลังงานหรือเปล่า หรือผู้ที่ได้รับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ ถ้าไม่แสดงพระองค์เสด็จปะปนไปในที่ต่าง ๆ และเราไม่รู้มาก่อน มีอะไรติดตามไปเป็นเครื่องแสดงให้เห็นบ้างว่ท่านผู้นี้เป็นพระราชา เพราะพระองค์ก็มีอวัยวะร่างกายเหมือนคนธรรมดาทุกอย่าง แต่ท่านก็คงเป็นพระราชาอยู่นั่นเอง การที่กรรมติดตามคนนั้น ท่านเปรียบเหมือนเงาของคน จะขู่หรือปลอบไม่ให้ติดตามก็ไม่ได้

พระพุทธศาสนาเปรียบกรรมว่า เป็นเนื้อที่วิญญาณเป็นพืช แสดงว่ากรรมกับวิญญาณมีส่วนสัมพันธ์กัน เนื้อที่ดี พืชก็งอกงามดี คนเราจะดีเลว เพราะการกระทำของตนเช่นนี้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะเลือกทำ แต่กรรมดี ละเลิกความชั่วเสีย เมล็ดทุเรียนเก็บความสามารถในการเป็นต้น มีใบ ดอก และลูกทุเรียนไว้ได้ในตัวเอง เมื่อถึงคราวก็เจริญเติบโตเป็นต้นทุเรียนฉันใด วิญญาณก็มีกรรมติดไปด้วยอย่างซ่อนเร้น ไม่เห็นตัว แต่เมื่อปรากฏตัวออกมา ก็ปรากฏตามลักษณะที่กำหนดของกรรมนั้น ๆ

โดย : สุชีพ ปุญญานุภาพ

คนฆ่าวัว

คนฆ่าวัว

คำสอนของพระพุทธองค์นั้น เป็นจริงเสมอ เป็นจริงตลอดกาล และ พิสูจน์ได้ด้วยตัวของตัวเองเท่านั้น
อาชีพฆ่าสัตว์ ที่เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ เช่น หมู เป็ด ไก่ วัว ฯลฯ หลายคนบอกว่า “ไม่บาป” ทั้ง ๆ ที่เป็นพุทธศาสนิกชน พูดแบบชาวบ้านว่า มันเกิดมาเพื่อให้คนกินโดยเฉพาะ แต่ตามหลักของพระพุทธศาสนา ไม่เห็นมข้อยกเว้น ถือว่า ผิดศีลข้อ 1 ว่าด้วย “ปาณาติบาต”

แม้กระทั่งคนที่ไม่จงใจฆ่า แต่บังเอิญไปทำให้มันตายเข้า เช่น เดินไปเหยียบถูก มด แมลง ทางพระยังสอนให้เรารู้จักอุทิศส่วนกุศลไปให้ เมื่อมีโอกาสทำบุญหรือปฏิบัติธรรมทุกครั้ง เป็นการขออโหสิกรรม ไม่จองเวรต่อกัน แต่ถ้าจะถามว่า ถ้าหากไม่มีมือเพชรฆาตเหล่านี้แล้ว คนที่ว่าบาป จะเอาเนื้อสัตว์อะไรมากินได้ จะหาซื้ออาหารเหล่านี้ได้จากที่ไหน มิต้องกินแต่ผักหญ้าหรืออย่างไร

เรื่องนี้ เคยถามทางพระอยู่เหมือนกัน คำตอบที่ได้คือ “ผลย่อมมาจากเหตุ” เป็นวิบากกรรมจองเวรอย่างหนึ่งในอดีตชาติ ของผู้ที่มีอาชีพนี้โดยเฉพาะ การปาณาติบาต ซึ่งสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะจองเวรในชาติต่อ ๆ ไป เป็นวัฏจักรเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ลุงสิงห์ เป็นผู้หนึ่งที่ถือได้ว่ามี “วิบากกรรม” ในเรื่องนี้ ขณะที่แกเสียชีวิตลง อายุของแก นับได้ประมาณ 60 ปีเศษ ผมเพิ่งไปร่วมพิธีงานศพของ ลุงสิงห์ เมื่อสองวันมานี่เอง แกตายไม่ดีเลย ผมได้รับการถ่ายทอดคำบอกเล่า จากคนรู้จักและญาติ ๆ ของแก

ก่อนที่จะทราบว่า แกตายไม่ดีอย่างไร ขอย้อนไปเล่าถึงเมื่อตอนที่ ลุงสิงห์ ยังแข็งแรง ยังหนุ่มยังแน่นเสียก่อนดีกว่านะครับ

เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ลุงสิงห์ จัดอยู่ในประเภท นักเลงขาใหญ่คนหนึ่ง ในย่านบางขุนเทียน ใคร ๆ ก็ยำเกรง แกจะพกมีดพับติดตัวเป็นอาวุธประจำกาย พร้อมกับปืนพกสั้นลูกโม่ขนาด .38 อีกหนึ่งกระบอก รูปร่างของ ลุงสิงห์ ล่ำสัน บึกบึน มีกล้ามเป็นมัด ๆ อาชีพหลักของแกก็คือ เป็นคนฆ่าวัวในโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่ง ต่อมา เสี่ยใหญ่เจ้าของโรงฆ่าสัตว์แห่งนั้น เกิดรักใคร่ เอ็นดู เพราะเห็นว่า ลุงสิงห์ เป็นคนขยัน และ มีคนยำเกรงมาก จึงเรียกใช้ให้เป็นคนขับรถประจำตัว หรือ ติดตามไปในทุกที่หลังจากที่เสร็จภาระกิจประจำวัน โดยสลับกับคนขับรถอีกคนหนึ่ง ซึ่งถือว่า ลุงสิงห์ เป็นมือปืนคุ้มกันประจำตัวด้วย

ลุงสิงห์ เคยเล่าถึงกรรมวิธีการฆ่าวัว ฟังแล้วสยดสยอง มีการใช้ค้อนขนาดใหญ่ ทุบหัว หรือ กกหู ใช้เหล็กแหลมที่คมกริบ แทงเข้าที่บริเวณลำคอ เสียงร้องโหยหวนของสัตว์เหล่านั้น เมื่อเกิดพลาดเป้าไม่ตายในทันที แสดงถึงความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส วัวบางตัวมีความเฉลียวฉลาดใกล้มนุษย์ เมื่อรู้ตัวว่า กำลังจะตาย น้ำตาไหลพลูออกมาจากเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างเห็นได้ชัด

ลุงสิงห์ เล่าให้ฟังโดยไม่รู้สึกอาการสะทกสะท้าน หรือ เศร้าสลดใจกับการกระทำของตนเองแต่อย่างใด แกบอกว่า สัตว์เหล่านี้ เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์โดยเฉพาะ

แต่แล้ว สัญญาณที่ส่อเค้าให้ทราบว่า ลุงสิงห์ จะตายไม่ดี หรือ ไปสู่ทุกข์คติอย่างแน่นอน หากต้องเสียชีวิตลงเมื่อไร ก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง

เสี่ยใหญ่เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด ที่บ้านพักย่านสุขุมวิท มีแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญมากันคับคั่ง ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตในวงราชการ มีทั้งนายทหารยศพลเอก นายตำรวจระดับ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ พร้อมใจมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง บริเวณงานพื้นที่หลายไร่ ดูคับไปถนัดตา แสดงให้เห็นถึงบารมีของเสี่ยใหญ่คนนี้ว่า “ไม่ธรรมดา”
ลุงสิงห์ เมาหนักไปหน่อยในคืนนั้น หลังจากที่รู้ตัวว่าไม่ไหว ประกอบกับความง่วงที่อดนอนมาจากคืนก่อน ทำให้ ลุงสิงห์ หลบฉากไปนอนยังห้องรับแขกเสียก่อน กว่างานจะยุติ ก็ปาเข้าไปถึง ตี 2 แขกเหรื่อกลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พนักงานและเพื่อน ๆ ของ ลุงสิงห์ ร่วม 10 คน จากโรงฆ่าสัตว์ ที่มาร่วมงานฉลองด้วย ต่างก็เข้ามายังห้องรับรองแขกที่ ลุงสิงห์ นอนอยู่ก่อนแล้ว เพื่อขอนอนพักเอาแรงบ้าง
เสียงคุยกันของพนักงานโรงฆ่าสัตว์ ไม่ได้รบกวนโสตประสาทของ ลุงสิงห์ ให้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องปรับอากาศ เสียงดังก้องทั่วทั้งห้อง แกนอนหลับอย่างสนิท ไฟแสงสว่างในห้องถูกปิดลง ทุกอย่างในห้องดูมืดสนิทแทบมองไม่เห็นอะไร เสียงคุยเงียบลง คงได้ยินแต่เสียงลมที่พ่นออกมาจากหน้าเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

เพียง 1 ชั่วโมงให้หลัง หลายคนในห้องต้องตกใจสะดุ้งตื่น เมื่อต่างได้ยินเสียงที่เหมือนกัน คือเสียงเหมือนกับ “วัวร้อง” ดังลั่นเป็นช่วง ๆ อยู่ภายในห้องรับรองที่ต่างเข้าไปนอนพักผ่อนเป็นการชั่วคราว เสียงดังชัดเจน หลายคนเคยชินต่อเสียงนี้เป็นอย่างดี เพราะทำงานอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ของเจ้านาย แต่สงสัยว่า มันมาร้องดังในห้องนี้ได้อย่างไร ดังรบกวนมากจนนอนไม่หลับ

ในที่สุด หลายคนพร้อมใจกันลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อเดินหาต้นตอเสียงนี้ว่า มันมาจากไหน หลังจากที่ค่อย ๆ เดินสำรวจไปได้สักครู่ จึงพบว่า เสียงร้องดังลั่นเหมือนวัวร้องนั้น ที่แท้เป็นเสียงการนอนกรนของ ลุงสิงห์ นั่นเอง

ลุงสิงห์ นอนกรนเหมือนวัวร้อง ไม่มีผิด เสียงดังมาก โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สึกตัว เพราะนอนหลับไป เพื่อนร่วมงานของ ลุงสิงห์ วิพากษ์วิจารณ์กันว่า ลักษณะเช่นนี้ คนเฒ่าคนแก่ เคยบอกว่า คนที่สร้างบาปกรรมไว้มาก โดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก่อนจะตาย มักจะมีอาการคล้ายกับสัตว์ที่ตนเองเคยฆ่ามา ซึ่งเป็นลางออกเหตุล่วงหน้าให้ทราบว่า คน ๆ นั้น เมื่อตายแล้ว ก็คงจะไปเกิดเป็นสัตว์ที่ตนเองเคยฆ่ามาหลายร้อยหลายพันชาติทีเดียว

แต่อาการนอนกรนเสียงเหมือน “วัวร้อง” ที่ดังมากของ ลุงสิงห์นั้น เกิดขึ้นในขณะที่แกนอนหลับไป ยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยใกล้ตายเหมือนคนอื่น ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ลุงสิงห์ มีกรรมหนักมากกว่าคนอื่น หาก ลุงสิงห์ตายไป ย่อมไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิอย่างแน่นอน

คนงานบางคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องบุญบาป หรือถือคติว่าการฆ่าสัตว์ที่เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นั้น ฆ่าแล้วไม่บาปเริ่มใจไม่ดีเมื่อเห็นอาการของลุงสิงห์บางรายถึงขนาดลาออกไปประกอบอาชีพด้านอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์อีกเลย

ลุงสิงห์ ดำเนินอาชีพ คนฆ่าวัว ในโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้มานานหลายปี มีเงินมีทองจากการรับใช้เสี่ยเจ้าของโรงฆ่าสัตว์แห่งนี้มาพอสมควรแกสามารถเลี้ยงดูครอบครัวอย่างมีความสุข ส่งเสียเมียรัก พร้อมด้วยลูกชายวัย 19 และ ลูกสาววัย 17 ซึ่งอยู่ในวัยศึกษาทั้งคู่ ทุกอย่างดูราบรื่นดี

เมื่อลุงสิงห์มีอายุมากขึ้นนายจ้างจึงสับเปลี่ยนหน้าที่ ให้ ลุงสิงห์ ทำงานที่เบาลง ไม่ต้องลงมือฆ่าสัตว์เหมือนที่ผ่านมาจนกระทั่งเมื่อตอนดึกของคืนหนึ่งจะเรียกว่าเป็นคราวเคราะห์ของ ลุงสิงห์ หรือจะเรียกว่า วิบากกรรมตามสนองก็คงไม่ผิด

ลุงสิงห์ได้ถูกรถบรรทุกสิบล้อเฉี่ยวชนอย่างจัง ขณะที่กำลังจะข้ามถนนไปยังโรงฆ่าสัตว์ แกเสียหลักล้มลงทันที แต่แรงกรรมเหมือนจะหาความยุติธรรม มันเหมือนมีแรงดึงดูดเกิดขึ้น ศีรษะของลุงสิงห์ได้ถูกดูดเข้าไปอยู่ใต้ล้อหลังของรถบรรทุกคันนั้น มันเบียดทับศีรษะพร้อมกกหูด้านขวาของ ลุงสิงห์ อย่างน่าสยดสยอง ก่อนที่คนขับจะขับรถหนีไปอย่างลอยนวล เนื่องจากเป็นเวลาดึก และอยู่ในที่เปลี่ยว จึงไม่มีใครได้ทันเห็นเหตุการณ์หรือจำทะเบียนรถบรรทุกคันนั้นได้

ร่างของลุงสิงห์ถูกพลเมืองดีรีบนำส่งโรงพยาบาล เข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. ทันที เงินทองที่สะสมไว้หลายแสนบาท ตั้งใจไว้ใช้ในยามชรา ถูกนำออมาใช้จ่ายเป็นค่ารักษา ค่าผ่าตัดจนหมดสิ้น หลังจากที่ ลุงสิงห์ นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 3 เดือน หมอจึงอนุญาตให้กลับไปนอนพักรักษาตัวที่บ้าน

ลุงสิงห์ ไม่ตาย แต่ก็กลายเป็นคนพิการ แกเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว มือซ้ายก็ขยับไม่ได้ เสียงพูดอ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์ เพื่อนบ้านที่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างก็มาเยี่ยม ลุงสิงห์ ถึงบ้าน อนิจจาไม่สามารถสื่อสารกันได้ทุกคน ต่างสลดใจและรู้สึกเวทนา เมื่อเห็นสภาพของเขา เนื้อหนังบริเวณกกหูด้านขวาแหว่งหายไปบางส่วน

ต่อมาไม่นานลุงสิงห์เริ่มมีอาการประหลาดเกิดขึ้น นั่นคือ ทุก ๆ คืนในยามดึก ลุงสิงห์ จะมีอาการปวดหัวอย่างหนัก ปวดแต่ละครั้ง ก็จะร้องโหยหวนดังลั่น เสียงเหมือน “วัวที่ถูกเชือด” ไม่มีผิดเพี้ยน มีอาการดิ้นทุรนทุราย ดูทุกข์ทรมานยิ่งนัก เสียงร้องได้ยินไปไกล ตั้งแต่ต้นซอย ยันท้ายซอยของบ้านแก

ข้อที่แปลกคือ อาการปวดหัวของ ลุงสิงห์ หมอหลายรายรักษาไม่หาย หาสาเหตุไม่เจอ เหมือนที่เขาว่าเป็น “โรคกรรม” เวลาเป็นขึ้นมา ยาระงับปวดให้กินก็เอาไม่อยู่ จะเกิดขึ้นในยามดึกซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แกเคยทุบหัววัวและลงมือฆ่ามัน

ลุงสิงห์ จะดิ้นทรมานอยู่นานประมาณ 1 ชั่วโมง อาการก็จะทุเลาลงเองเป็นอย่างนี้ทุกคืน ลูก เมีย ญาติๆ ไม่มีใครช่วยได้นอกจากยืนดูตาปริบๆ แกทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้อีกเกือบปี จึงได้เสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง สร้างความเศร้าสลดใจให้แก่ครอบครัวและญาติๆ ของแกยิ่งนัก ชาวบ้านต่างลงวามเห็นว่า ลุงสิงห์ ถูกจองเวรจาก “วิบากกรรม” ที่แกทำไว้ ไม่ต้องรอผลถึงชาติหน้า และเชื่อกันว่า หลังจากที่แกสิ้นใจลง คงมี “อเวจีมหานรก” เป็นที่ไปอย่างแน่นอน ก่อนที่จะมาเกิดเป็น “วัว” ให้มนุษย์เชือด อีกหลายร้อยหลายพันชาติ เท่ากับจำนวนที่แกเคยทำกับเขามาก่อน เป็น “วัฏจักร” วนเวียนกันอยู่เช่นนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด

หนุ่มนอนเปลล่าหมู่ป่าในป่าสงวน-ปืนยาวตก ลั่นใส่ตัวดับคายอดไม้

หนุ่มนอนเปลล่าหมู่ป่าในป่าสงวน-ปืนยาวตก ลั่นใส่ตัวดับคายอดไม้

18 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.พิชัย มาพิจารณ์ สารวัตรเวร สภ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ได้รับแจ้งมีเหตุผู้ถูกยิงดับคายอดต้นไม้ ในป่าข้าวโพดชาวเขา หมู่ที่ 10 ต.บ้านไร่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จึงรุดตรวจสอบพร้อมมูลนิธิร่วมใจอุทัยธานี

ที่เกิดเหตุกลางป่าข้าวโพดชายเขาบริเวณถนนทางเขาเป็นลูกรังพบรถกระบะยี่ห้อนิสัน สีขาว ทะเบียน บง 305 อุทัยธานี ของผู้ตายจอดอยู่ ห่างจากถนนประมาณ 10 เมตร บนยอดไม้ ต้นมะค่ำสูงประมาณ 8 เมตร พบชายนอนอยู่ในเปลบนยอดไม้มีเลือดหยดลงมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงให้กู้ภัยร่วมใจ ช่วยกันนำศพผู้ตายลงมาจากยอดไม้ทราบชื่อ นายอนุสัก ทรดี อายุ 43 ปี หมู่ 2 บ้านสะนำ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่กลางหลังทะลุตามตัวจำนวน 7 เม็ด เสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ตรวจสอบตามตัวของผู้ตายภายในกระเป๋าเสื้อ พบลูกกระสุนปืนขนาด เบอร์ 12 จำนวน 2 ลูก กระเป๋ากางเกงผู้ตายพบเงินสดจำนวน 2600 บาท โทรศัพท์มือถือ 1เครื่อง

ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ ใต้ต้นไม้พบอาวุธปืนลูกซองยาวไม่มีทะเบียน 1 กระบอก ภายในลำกล้องพบปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 คารังเพลิง 1 นัด เขม่าดินปืนติดลำกล้อง และสายสะพายปืนขาด เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนญาติของผู้ตายว่า เมื่อวานผู้ตายนั้นได้ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา สามโมงเย็น โดยอ้างว่ามาเฝ้าไร่ข้าวโพดให้ผู้ใหญ่บ้านนายณรงค์ หมู่ 10 ว่าหมู่ป่า ลิง สัตว์ป่า จะมากินข้าวโพด เป็นประจำ โดยผู้ตายนั้นจะผูกเปลนอนบนยอดไม้สูงประมาณ 10 เมตร เพื่อมองสัตว์ป่า ในช่วงกลางคืนตั้งแต่หัวค่ำจนดึก ในคืนเกิดเหตุ ประมาณตี 4 เพื่อนบ้านได้ยินเสียงปืนดังขึ้นฟ้าหนึ่งนัด จนรุ่งเช้าเพื่อนบ้านเข้าไปดูไร่ข้าวโพด เห็นผู้ตายนอนนิ่งอยู่บนยอดไม้ และมีเลือดหยดลงมาจากเปลที่ผูกไว้ จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว

ด้าน พ.ต.ท.พิชัย กล่าวว่า จากการตรวจสอบ สาเหตุการตายน่าจะปืนลั่นใส่ผู้ตายที่สายสะพายขาดแล้วตกลงมา ส่วนท้ายปืนยาวกระแทกกับพื้นดิน จึงเกิดปืนลั่นขึ้นประกอบกับปากกระบอกปืนหันขึ้นไปหาผู้ตาย จึงทำให้เสียชีวิตดังกล่าว

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด

พุทธวจน...การทำกรรมทางใดมีโทษมากที่สุด

พุทธวจน...การทำกรรมทางใดมีโทษมากที่สุด

การทำกรรมทางใดมีโทษมากที่สุด
ทีฆตปัสสีนิครนถ์ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาค
ว่า

ท่านพระโคดม ! พระองค์เล่าย่อมบัญญัติทัณฑะ ในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรมไว้เท่าไร ?

ทีฆตปัสสี ! ตถาคตจะบัญญัติว่ากรรม ๆ ดังนี้ เป็นอาจิณ.

ท่านพระโคดม ! ก็พระองค์ย่อมบัญญัติกรรม ในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรมไว้เท่าไร ?

ทีฆตปัสสี ! เราย่อมบัญญัติกรรม ในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรมไว้ ๓ ประการ
คือ กายกรรม ๑ วจีกรรม ๑ มโนกรรม ๑.

ท่านพระโคดม ! ก็กายกรรมอย่างหนึ่ง วจีกรรมอย่างหนึ่ง มโนกรรมอย่างหนึ่ง มิใช่หรือ ?

ทีฆตปัสสี ! กายกรรมอย่างหนึ่ง วจีกรรมอย่างหนึ่ง มโนกรรมอย่างหนึ่ง.

ท่านพระโคดม ! ก็บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จำแนกออกแล้วเป็นส่วนละอย่างต่างกัน เหล่านี้ กรรมไหน คือ กายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรมที่พระองค์บัญญัติว่ามีโทษมากกว่าในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรม ?

ทีฆตปัสสี ! บรรดากรรมทั้ง ๓ ประการ ที่จำแนกออกแล้วเป็นส่วนละอย่างต่างกันเหล่านี้ เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการทำบาปกรรม ในการเป็นไปแห่งบาปกรรม เราจะบัญญัติกายกรรม วจีกรรมว่ามีโทษมาก เหมือนมโนกรรม หามิได้.

ท่านพระโคดม ! พระองค์ตรัสว่ามโนกรรมหรือ ?

ทีฆตปัสสี ! เรากล่าวว่ามโนกรรม.

ท่านพระโคดม ! พระองค์ตรัสว่ามโนกรรมหรือ ?

ทีฆตปัสสี ! เรากล่าวว่ามโนกรรม.

ท่านพระโคดม ! พระองค์ตรัสว่ามโนกรรมหรือ ?

ทีฆตปัสสี ! เรากล่าวว่ามโนกรรม.

ทีฆตปัสสีนิครนถ์ให้พระผู้มีพระภาคทรงยืนยัน ในเรื่องที่ตรัสนี้ถึง ๓ ครั้ง ด้วยประการฉะนี้ แล้วลุกจากอาสนะเข้าไปหานิครนถ์นาฏบุตรถึงที่อยู่.

ม. ม. ๑๓/๕๔/๖๒.