Sunday, July 18, 2010

กฏแห่งกรรม : ตอน...ข้าวต้มลูกหมา

กฏแห่งกรรม : ตอน...ข้าวต้มลูกหมา

..............................................

เรื่องนี้เป็นเรื่องของกรรมที่ต้องชดใช้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังที่โบราณกล่าวไว้ว่าภายใน 3 วัน 7 วัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว !!

เรื่องนี้ ท่านดร.พระราชวรมุนี รองเจ้าคณะภาค 17 และรองเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม กทม. ได้นำมาเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเล่าว่า วันหนึ่งท่าน ได้รับนิมนต์ให้ไปสวดศพแม่ครัวที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม่ครัวคนนี้ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุที่ ไม่น่าเชื่อ คือตกหม้อข้าวต้มตาย แล้วท่านเจ้าคุณก็ขยายความต่อไปว่า แม่ครัวผู้นี้เป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง เธอเป็นแม่ครัวรับจ้างทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพที่วัดแห่งนี้แบบผูกขาดมานานจนร่ำรวย สามารถส่งเสียลูกๆ เรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ดีไปหลายคน

กรรมที่ทำให้เธอต้องมาพบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายนั้น เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง แม่ครัวผู้นี้เห็นว่า เนื้อหมูจำนวนมากที่นำมาสับ เพื่อเตรียมทำข้าวต้มหมูเลี้ยงแขกที่มาในงานศพนั้น หายไปอย่างผิดปกติ ทั้งๆ ที่เพิ่งสับเสร็จไม่นาน แค่หันไปหยิบเครื่องปรุง หรือไปทำอย่างอื่นแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว พอหันกลับมาอีกครั้ง เพื่อจะนำเนื้อหมูที่สับวางทิ้งไว้บนเขียงใส่ลงหม้อข้าวต้ม ปรากฏว่าเนื้อหมูอันตรธานหายไปหมด โดยไม่มีร่องรอย พอถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง เพราะต่างก็วุ่นกับงานของตัวเอง แรกๆ เธอก็คิดว่าไม่เป็นไร แต่ครั้นเป็นอย่างนี้ติดต่อกันบ่อยครั้งเข้าใน ทุกครั้งที่เผลอ เธอจึงอดรนทนไม่ได้ ดังนั้นจึงได้วาง แผนที่จะจับเจ้าขโมยตัวดี

เธอทำทีเป็นสับเนื้อหมูวางไว้บนเขียงไม้เหมือนเดิม แล้วก็แสร้งหันไปทำอย่างอื่นเหมือนเคย แต่ทว่าตาคอยแอบจับจ้องอยู่ที่เขียงไม้ตลอดเวลา ทันใดนั้นก็มีลูกสุนัขผอมโซตัวหนึ่ง ซึ่งแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำกับข้าวนั่นเอง ปีนขึ้นมากินเนื้อหมูสับจนหมดอย่างรวดเร็ว แล้วก็กระโดดวิ่งหนีไป เมื่อเห็นว่าเจ้าหัวขโมยเป็นลูกสุนัข เธอจึงรู้สึกโกรธแค้นมาก จึงได้วางแผนที่จะจัดการเจ้าลูกสุนัขตัวนี้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้นเธอก็ทำทีสับเนื้อหมูทิ้งไว้บนเขียงไม้เหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้เธอไม่ได้วางเขียงไม้ไว้ที่เดิม แต่กลับนำเขียงไม้ไปพาดกับปากหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ อยู่ แล้วเอาปลายไม้ข้างหนึ่งพาดหมิ่นๆ ไว้ที่ปากหม้อข้าว

จากนั้นเธอจึงเดินออกไปแอบดูอยู่ใกล้ๆ ฝ่ายเจ้าลูกสุนัขเมื่อเห็นไม่มีคนอยู่ตรงนั้น มันจึงกระโดดเต็มแรงเพื่อขึ้นมากินเนื้อหมูสับอย่างเคย แต่ทว่าปลายไม้ที่วางหมิ่นๆ พาดกับปากหม้อข้าวไว้นั้นได้กระดกขึ้นมา ทำให้เจ้าลูกสุนัขตกลงไปในหม้อข้าวต้มที่กำลังเดือดพลั่กๆ ทันที ผลคือตายคาที่ โดยไม่มีโอกาสได้ร้องเลยสักแอะเดียว อนิจจา..เจ้าหมาน้อย

เมื่อจัดการกับเจ้าลูกสุนัขได้แล้ว เธอก็รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมาก เพราะไม่ต้องมาคอยกังวลว่าเนื้อหมูสับจะหายไปอีก เพียงไม่กี่วันเธอก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท ประกอบกับหลังจากนั้นไม่มีงานศพที่วัด เธอจึงไม่มีงานที่ต้องมาทำอาหารเลี้ยงแขก

เวลาผ่านไป 7 วัน ครบวันที่ลูกสุนัขตายพอดี วันนั้นเผอิญมีงานศพที่วัด แม่ครัวคนนี้ก็เข้าไปรับงานจัดเลี้ยงเหมือนเดิม วันนั้นเป็นวันแรกของงานศพ เธอจึงได้ต้มข้าวต้มหมูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ขณะที่ข้าวต้มกำลังเดือดพลั่กๆ อยู่นั้น เธอก็บอกคนงานให้มาช่วยยกหม้อข้าวลงจากเตาไฟ แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หูหิ้วหม้อข้าวต้มข้างที่เธอถือนั้นเกิดหักหลุดจากมือ ตัวเธอจึงถลำลื่น หัวทิ่มลงไปในหม้อข้าวต้มใบใหญ่ที่กำลังเดือดพลั่กๆ นั้น ตายทันที โดยไม่ทันได้ร้องสักแอะเดียว เป็นชะตากรรมเดียวกับที่เธอทำกับเจ้าลูกสุนัขตัวนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน !!

ชะรอยลูกสุนัขกับแม่ครัวคนนี้คงจะเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาหลายภพหลายชาติ ผูกพยาบาทอาฆาตกันไม่จบสิ้น ในชาตินี้จึงมาสร้างกรรม ทำเวรซึ่งกันและกันเพิ่มเข้าไปอีก

ผู้เขียนขอย้ำว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง เป็นจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่คาดฝัน สุดแท้แต่ว่าจะให้อโหสิกรรมต่อกัน เลิกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันและกันหรือไม่ หากไม่ได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน 4 ก็จะไม่รู้ซึ้งถึงกฏแห่งกรรม จะไม่รู้ถึงการให้อภัยทาน การเลิกอาฆาตพยาบาทกันและกัน กฏแห่งกรรมนั้นนอกจากจะมีจริง เป็นจริงแล้ว ยัง เกิดขึ้นได้โดยไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่อีกด้วย

ดังนั้นคงไม่มีอะไรประเสริฐเท่ากับความมีเมตตา ให้อภัยต่อกัน ไม่ว่ากับคนด้วยกัน หรือกับสรรพสัตว์ เพราะต่างก็มีชีวิต มีความรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ทรมานเหมือนๆ กัน

..............................................

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 กุมภาพันธ์ 2548 14:35 น.