Wednesday, November 30, 2011

เรื่องของคนขายน้ำฟักทองต้ม

เรื่องของคนขายน้ำฟักทองต้ม
ผู้เขียน : ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

เมื่อน้ำฟักทองต้มที่เตรียมมาขายใกล้หมด ก้นหม้อเริ่มข้นงวด ศรัทธาเติมน้ำสะอาดไปเล็กน้อย แล้วเอียงหม้อต้มเพื่อตักน้ำฟักทองที่เหลือก้นหม้อ ใส่ถุงได้สิบถุง ตั้งใจนำไปแจกคนที่ควรอนุเคราะห์ ดังเช่นที่เขาปฏิบัติมาทุกวัน

ความคิดเผื่อแผ่ของเขา เกิดขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ในวันที่ศรัทธาไม่มีเงินซื้อข้าวกิน และได้รับความอนุเคราะห์ข้าวแกงหนึ่งจานโต จากแม่ค้าขายข้าวแกงใจดี

ในขณะนั้นศรัทธากำลังชั่งใจลังเล ที่จะชิงทรัพย์แม่ค้าคนนั้นในช่วงปลอดคน เพราะคิดว่า โลกนี้ไม่มีความเมตตากรุณาอยู่จริง และผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะมีชีวิตรอด

“เอ้าไอ้หนุ่ม วันนี้ข้ามีกำไรพอคุ้มเหนื่อยแล้ว เอ็งไม่มีเงินก็กินไปเถอะ ไม่พอตักเติมเองเลยนะ เดี๋ยวจะเก็บร้านแล้ว” ป้าพูดพลางยื่นข้าวแกงให้ ทำให้เขาเปลี่ยนใจในทันที และเชื่อว่าความเมตตากรุณายังมีอยู่จริงในโลก และมันได้ช่วยหยุดการตัดสินใจก่อคดีชิงทรัพย์ครั้งแรกของเขา หยุดว่าที่โจรหนึ่งคนไม่ให้เป็นโจรเกิดขึ้นมาในโลก แต่กลับสร้างคนที่จะมีใจเมตตากรุณาต่อไปอีก

ศรัทธายกมือไหว้ด้วยใจเคารพจริงแบบที่น้อยครั้งจะไหว้ใคร และบอกป้าว่า “ขอบคุณครับ ไว้มีเงินจะมาจ่ายค่าข้าวคืนให้นะป้า” ป้าตอบเพียงว่า “ไม่เป็นไร เอ็งตั้งใจเรียนให้จบ จะได้เลี้ยงพ่อแม่ แล้วถ้ามีเงินก็เอาไปช่วยเหลือคนอื่นที่เขาไม่มีต่อๆไปละกัน”

ศรัทธาไม่เคยลืมข้าวราดแกงจานนั้น และปัจจุบันนี้อาชีพพ่อค้าขายน้ำฟักทองของเขานั้น นอกจากจะให้ความภูมิใจที่มีส่วนทำให้คนอื่นสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้เขามีโอกาสที่จะส่งต่อความกรุณานั้นต่อไปยังผู้อื่น และหวังว่าบางคนในหมู่ผู้อื่นที่ได้รับนั้นจะส่ง เชื้อแห่งความกรุณานั้นไปอย่างไม่สิ้นสุด

.............................

รถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่งเข้ามาจอดชิดร้านขายน้ำฟักทอง กระจกด้านที่นั่งคู่กับคนขับเปิดขึ้น หญิงสาวในรถคือแฟนเก่าของศรัทธา เธอยิ้มให้อย่างคุ้นเคย แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “พี่ธาคะ อยากเชิญพี่ไปฟังแผนธุรกิจของบริษัทธุรกิจส่งเสริมสุขภาพแบบเครือข่ายเปิดใหม่ ค่ำนี้นะคะ รับรองรวยแน่ๆ ธุรกิจใหม่โอกาสยังมีอีกเยอะ เพราะเราเป็นกลุ่มแรกๆ”พูดพลาง ยื่นเอกสารเชิญชวนจากรถเก๋งใหม่เอี่ยม ก่อนกล่าวลาและขับรถออกไป

คำว่าธุรกิจส่งเสริมสุขภาพถูกจริตศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เขาสนใจ เขาอยากเห็นคนอื่นมีสุขภาพดีไม่ต้องเจ็บป่วย เสียค่าหยูกยาไปหาหมอ แถมยังอาจหารายได้อีกทางซึ่งก็สำคัญในใจเขาไม่แพ้กัน

แฟนเก่าของศรัทธา โทรศัพท์มาชวนศรัทธาไปฟังแผนธุรกิจเครือข่ายเพื่อส่งเสริมสุขภาพนี้หลายครั้งแล้ว และวันนี้มาเชิญด้วยตัวเอง

เธอจึงตัดสินใจแต่งงานกับชายอื่นที่คบหากันไม่นานในปีที่แล้ว หลังจากศรัทธาเป็นฝ่ายขอเลิก เนื่องจากตัวศรัทธาเองมีปัญหาเรื่องการเงิน จนไม่อาจที่จะแต่งงานกับเธอได้ตามที่เคยวางแผนไว้ จึงตัดใจบอกเลิกเปิดทางให้เธอแต่งงานกับชายอื่น ที่อาจทำให้ชีวิตเธอดีกว่าคบกับเขา เพราะศรัทธา คิดว่า “ความรักที่แท้จริงคือ ปรารถนาดีกับเขา และไม่จำเป็นต้องจบด้วยการครอบครอง”

แฟนเก่าของเขาคงมีเวลาไม่มากนักกับการรอคอย เพราะอายุหล่อนก็ใกล้ 30 ปีไปแล้ว ส่วนศรัทธาในตอนที่ยังทำงานโรงงานนั้น มีปัญหาขัดสนเงินทองอย่างรุนแรงเพราะอุบัติเหตุในชีวิตที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน จนต้องล้มเลิกแผนการแต่งงาน

ศรัทธา นึกถึงความหลัง ก่อนที่เขาจะมาขายน้ำฟักทอง.....

เขาเคยเป็นพนักงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรฝีมือระดับต้นๆ ของโรงงานแห่งหนึ่ง ทำงานดูแลเครื่องจักรตามตารางหยุดซ่อมบำรุงตามกำหนดเวลา กว่าจะครบทุกเครื่องก็เวียนเข้ารอบการซ่อมบำรุงใหม่อีกแล้ว เรียกว่าแทบไม่มีเวลาหยุดพัก

ในช่วงที่อนาคตเขากำลังเริ่มเข้าที่เข้าทางเมื่อสองปีที่แล้ว อุบัติเหตุในชีวิตก็เกิดขึ้น พ่อที่เลี้ยงดูเขาและน้องชายมาทั้งชีวิต นับจากแม่ของเขาตายจากไป เกิดป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง ค่ารักษาและค่ายาที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินเก็บที่เขาที่อุตส่าห์สู้ทนเก็บมาหลายปีเพื่อวางแผนเพื่อซื้อบ้านและแต่งงานค่อยๆ หมดไป น้องชายทำงานขับรถส่งของเงินเดือนไม่มากนัก ทำให้ศรัทธารับผิดชอบเงินค่ารักษาพ่อเป็นหลักโดยมีน้องช่วยบ้างเพียงเล็กน้อย

พ่อเคยบอกว่า “พ่อแก่แล้ว ปล่อยให้พ่อตายไปเถอะไม่ต้องรักษา แค่เลี้ยงลูกสองคนจนโตขึ้นมาเป็นคนดีมีงานทำสุจริต พ่อก็ดีใจมากแล้ว” ศรัทธาน้ำตาไหล คำพูดนี้แสดงว่าพ่อรักและห่วงใยอนาคตของศรัทธาและน้องมากกว่าชีวิตตนเอง อย่างไรก็ตามเขาคิดว่า ชีวิตนี้มีพ่อคนเดียว พ่อที่รักเขามากขนาดที่ว่าไม่ยอมแต่งงานใหม่ แต่ตัดสินใจเลี้ยงดูเขาด้วยการตื่นแต่ตีสามทุกวัน ทำงานโดยไม่มีวันหยุด ไปรับจ้างเข็นสินค้าในตลาดสดได้เงินมามาอย่างยากลำบาก จนเขาต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระพ่อ และเขาสามารถเรียนจบปวส.ช่างกลโรงงาน

หลายคนบอกว่าเขาฉลาดความจำดี น่าจะได้เรียนสูงๆ กว่านี้ เขาทำงานในโรงงานอย่างตั้งใจ มีผลการทำงานที่ดีเด่นเสมอ เงินเดือนปีสุดท้ายในโรงงานที่เขาทำงานมาหลายปี เดือนละหมื่นห้าพันบาท มากกว่าเงินเดือนของพนักงานธุรการระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ในโรงงานเสียอีก ทำให้พ่อได้หยุดพักสบายขึ้นมามากแม้ไม่ถือว่ารวยมากนัก แต่ความสุขของเขาและพ่อมีอยู่ไม่นาน สแงปีที่แล้วพ่อก็ต้องรับข่าวร้ายว่า พ่อป่วยเป็นโรคร้ายที่ต้องรักษาต่อเนื่อง เขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เพื่อยื้อชีวิตพ่อไว้ให้นานที่สุด แม้แต่อนาคตเขากับแฟนสาวที่คบกันมาหลายปี

เขาบอกพ่อว่า “พ่อผมยังพอจ่ายค่ารักษาพ่อไหว ผมอยากพูดคุยกับพ่อแบบนี้ ไม่อยากไหว้รูปพ่อบนหิ้งบูชา จะมีประโยชน์เอาอะไร ถ้าผมมีบ้านมีครอบครัว แต่ต้องทิ้งให้พ่อต้องตายจากผมไป พ่อสอนความกตัญญูให้ผมเห็นด้วยการเลี้ยงดูย่า ผมต้องกตัญญูต่อพ่อตอบแทนบ้าง”

หลังจากพ่อป่วย ค่าแรงแต่ละงวดถูกนำไปจ่ายค่ายาพ่อและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จนหมด แถมยังต้องไปนำเงินเก็บที่ออมไว้ออกมาใช้ด้วย ดับฝันที่จะซื้อที่ปลูกบ้านของตัวเอง ยังคงอยู่ในบ้านเช่าหลังเก่าโทรม ก่อนหน้านี้เขาเคยแอบคิดจะซื้อที่ทำสวนเป็นของขวัญให้พ่อ

เพื่อให้มีเงินรักษาพ่อเขาอย่างต่อเนื่อง เขาต้องทำงานหนักขึ้น ใช้จ่ายน้อยลง ใครไม่ทำ OT เขาจะขอทำหมด ค่ายาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศก็มีราคาแพง จ มากกว่ เงินเดือน ลามไปถึงเงินเก็บ กระทบถึงอนาคตการมีครอบครัว

เขาจำกัดงบค่าอาหารของเขา เพียงสัปดาห์ละสี่ร้อยบาทเท่านั้น

อาหารเช้าของเขาคือ แซนด์วิช แฮม ไส้กรอก หรือ หมูหยอง หรือข้าวเหนียวหมูทอดราคาสิบบาท และน้ำเต้าหู้หกบาท ที่ขายตรงหน้าโรงงาน มื้อกลางวันคือข้าวฟรีของทางโรงงานที่โรงอาหาร และกับข้าวอย่างละสิบบาท ที่ขายถูกแบบราคาอาหารในโรงงานและมีขายเฉพาะมื้อเที่ยง เป็นมื้อที่ตักตวงความอิ่มมากที่สุดสำหรับศรัทธากับเพื่อนๆ ที่ซื้อกับข้าวมาคนละอย่างแล้วแลกกันกินเป็นวงใหญ่ ส่วนมื้อเย็นคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลวกน้ำร้อนสองห่อ 12 บาท ในช่วงพักก่อนทำ OT อย่างดีก็มีนมกล่องเพิ่มมาอีกหนึ่งกล่อง 10 บาท เพื่อบำรุงร่างกาย เลิกงานจาก OT สี่ทุ่ม ก็แทบหมดแรงเดิน ขึ้นรถรับส่งโรงงานได้ก็หลับถึงบ้าน จนเด็กรถมาปลุกให้ลงรถ ทำงานหนักใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสน เพื่อหาเงินมาจ่ายค่ายาให้พ่อของเขา

แล้ววันหนึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้าง จากปัญหาหนี้เสียต่างประเทศ ก็ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง กระทบเป็นทอดๆ จนโรงงานที่ศรัทธาทำงานได้รับผลไปด้วย เจ้าของโรงงานตัดสินใจลดคนงาน ศรัทธาและเพื่อนหลายคนถูกเลิกจ้าง

เคยคิดน้อยใจว่าเพราะเขาตั้งใจทำงานดีมากเกินไปหรือเปล่า ทำงานจนเครื่องไม่เสียมากอย่างเคย แถมยังสอนให้พนักงานประจำเครื่อง สามารถช่วยดูแลเครื่องจักรที่จุดสำคัญทำให้ลดการเสียได้มาก ตั้งแต่เขาได้มาดูแลงานซ่อม เครื่องจักรรุ่นที่มีใช้มากที่สุดในโรงงานและมีปัญหาเสียซ้ำซาก ปัญหาก็ค่อยๆหมดไป ยอดการสั่งชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องทดแทนลดลง กระทบถึงญาติคนหนึ่งของเจ้าของ ซึ่งมีผลประโยชน์กับบริษัทขายอะไหล่เครื่องจักร เมื่อมีการลดคนงาน ญาติคนนั้นจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ศรัทธา และเพื่อนๆ ร่วมแผนกที่ขัดขวางผลประโยชน์ของเขาออกจากโรงงานไปเป็นกลุ่มแรก ด้วยเหตุผลที่ว่า “เดี๋ยวนี้เราไม่มีปัญหาเครื่องเสียมากเท่าเดิมแล้ว”

เมื่อถูกเลิกจ้าง เขาได้รับเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างจากประกันสังคมเป็นเงิน 7,500 บาทต่อเดือน เป็นเวลาหกเดือน ในตอนนั้นเขาห่วงแต่พ่อ คิดว่าจะทำอย่างไร ต้องจ่ายค่ายาพ่อ ไหนจะต้องกินต้องใช้อีก ในห้วงเวลานั้น งานใหม่หายาก แม้เขาจะมีความสามารถและไม่เลือกงาน

เขาไม่อยากหยุดว่างเฉยๆ ให้เครียด วันที่ไม่ออกไปหางาน เขาใช้รถเข็นคันเก่าของพ่อไปรับจ้างเข็นของในตลาด มันทำให้เขารักพ่อเขามากขึ้นไปอีก เพราะกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท เหนื่อยยากไม่น้อยเลย พ่อของเขาต้องใช้ชีวิตแบบนี้มา 20 กว่าปี เลี้ยงลูกสองคน และยังส่งเสียเงินไปให้ย่าที่ต่างจังหวัดจนย่าจากไปอย่างไม่เคยบ่น

วันหนึ่ง เจ้าของแผงรายที่เคยใช้บริการพ่อของเขาเป็นประจำ สมัยที่พ่อยังแข็งแรงและทำงานรับจ้างเข็นสินค้าในตลาดเรียกใช้เขา หลังจากจ่ายเงินค่าเข็นรถ ก็ถามถึงอาการพ่อ และฝากฟักทองที่วันนี้มีอยู่มากมายให้เอาไปต้มให้พ่อกินบำรุงร่างกาย

เมื่อทำน้ำฟักทองปั่นให้พ่อกิน เขาก็เกิดความคิดที่จะทำน้ำฟักทองขาย แค่ซื้อฟักทองมาล้าง ปอกเปลือก ต้มให้สุก จากนั้นหันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้า กับน้ำสะอาด อุ่นให้ร้อนตอนขาย เขาเลือกทำเลที่ป้ายรถเมล์ใกล้โรงเรียนแห่งหนึ่ง ศรัทธาภูมิใจกับงาน มันช่วยบำรุงร่างกายให้คนกินแข็งแรง และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรตลอดจนพ่อค้าคนกลาง และด้วยรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากอดอยากในอดีต เขาขายน้ำฟักทองเพียงถุงละ 5 บาท จากน้ำฟักทองก็ขยายไปต้มข้าวโพดขายด้วย ซึ่งทำให้เขามีกำไร 7-800 บาทต่อวัน กำไรเดือนหนึ่งๆรวมกันมากกว่ารายได้ที่เคยได้รับจากโรงงานเสียอีก และเมื่อเห็นว่าขายได้เงินพอควรแล้ว เขาก็จะอนุเคราะห์ผู้ยากไร้ โดยนำน้ำฟักทองที่ตัดสินใจไม่ขายเอาเงินแล้ว นำไปแจกจ่ายให้คนจรจัดไร้บ้านอยู่เป็นประจำ

ธุรกิจเพื่อสุขภาพนี้ทำให้เขามีรายได้ คนกินแข็งแรง และได้แบ่งปันเป็นทาน เขารักธุรกิจนี้เสียแล้ว

ตั้งแต่กินข้าวแกงที่ป้าใจดีหยิบยื่นให้จานนั้น ศรัทธาพยายามช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่ได้หวังสวรรค์วิมาน เขาแค่คิดว่าเขาพยายามทำความดีเท่าที่จะทำได้ทุกๆ วัน จะไปกลัวอะไร ว่าตายแล้วจะไปไหน หรือผลของความดีจะช่วยเขาหรือไม่ เขามีความสุขแล้วจากการทำดี

......................................

น้ำฟักทองกำลังถูกหยิบยื่นให้ คนแก่ไร้บ้านคนหนึ่ง และศรัทธากำลังให้ความรู้ประกอบ

“ยาย ยายเอาน้ำฟักทองไปกินสิยาย มันบำรุงสายตาและร่างกาย พืชผักไทยเรามีประโยชน์มากนะยาย บำรุงร่างกายให้แข็งแรง จะได้ไม่ต้องป่วยไปหาหมอ เสียค่ายาแพงๆ”

ขณะที่แจกน้ำฟักทอง ใจก็ครุ่นคิดถึงอาการของพ่อที่มีแต่ทรงกับทรุด ค่ายาที่ไม่สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้ก็แพงขึ้นอีก แม้จะรักษากับโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะยาชุดเดิมมีผลข้างเคียงทำให้ต้องเปลี่ยนยาไปใช้ตัวที่แพงขึ้น เขาคงต้องหารายได้เพิ่มอีกทาง จากธุรกิจเครือข่าย ตามที่แฟนเก่าของเขาชักชวน โฆษณาว่าดีนักดีหนา ทำงานง่าย สบายๆ เขายอมเสียยอดขายน้ำฟักทองไปหนึ่งวัน เพื่อไปฟัง ไปแสวงหาความร่ำรวยที่อาจกำลังรอเขาอยู่ เขาเชื่อว่าใครบางคนที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเขา รอเขาอยู่ในงานนั้น

ศรัทธาพ่อค้าขายฟักทองกำลังนั่งฟังแผนธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพใหม่ล่าสุดในห้องประชุมของโรงแรมไม่หรูแห่งหนึ่ง ตามที่อดีตแฟนสาวชักชวน ณ ที่นั้นคนที่แต่งกายภูมิฐานหลายคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพูดบนเวที ทุกคนล้วนโฆษณาว่า ตนเองประสบความสำเร็จจากธุรกิจเครือข่ายอันดีเลิศสุดยอดนี้ จนมีรายได้เดือนหนึ่งเป็นแสนๆบาท แต่ไม่ค่อยเน้นเลยว่า สินค้าคืออะไร ดีอย่างไร

ความรู้สึกในใจที่อธิบายไม่ถูกบอกศรัทธาว่า เขาต้องมางานนี้ เขาจะได้พบใครคนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยชีวิตเขา เพื่อชี้ทางออกให้เขาให้พ้นจากความทุกข์ยาก ศรัทธาสะดุดตา เมื่อเห็นผู้หญิงพูดคล่องคนหนึ่งบนเวที เขารู้จักเธอมาก่อน เธอเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจนี้ขึ้นมาเอง

เธอเล่าว่า ตนเองเคยทำงานเป็นพนักงานขายของบริษัทยาแห่งหนึ่ง ที่นำเข้ายาจากต่างประเทศมาขายให้โรงพยาบาลหลายแห่ง เธอมีเงินเดือนสูง แถมได้เดินทางดูงานในต่างประเทศเป็นระยะๆ เธอยังไม่ลังเลที่จะตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจเครือข่ายเต็มเวลา เพราะพบว่ามันจะทำให้ตนเองรวยขึ้นๆ อย่างง่ายๆ เร็วกว่าเป็นพนักงานขายยาหลายสิบหลายร้อยเท่า

ศรัทธาจำเธอได้ดีและรู้ว่าเธอกำลังโกหก ผู้หญิงคนนี้เป็นอดีตพนักงานบริษัทยาจริง แต่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่พ่อไปรักษาคนหนึ่งซึ่งเป็นคนรู้จักกันเล่าว่า เธอถูกไล่ออก เพราะใช้วุฒิการศึกษาปลอมสมัครงาน และโกงเงินบริษัทยาที่เธอทำงานอยู่ ด้วยการปลอมแปลงเอกสารขายยาให้แพงกว่าที่บริษัทกำหนด เอาส่วนต่างเข้ากระเป๋าตัวเอง ยักยอกเอายาและตัวอย่างยาที่บริษัทให้ทดลองใช้ฟรี ไปขายในตลาดมืดอีกด้วย ทำให้โรงพยาบาลต้องซื้อยาแพงและกำลังถูกดำเนินคดี

ในห้องสัมมนา ในขณะที่หญิงคนนั้นพูดไม่หยุดปากเรื่องความรวย คำว่า "รวย"กระทบใจของศรัทธาให้เจ็บแปลบในใจ ศรัทธาคิดสงสัยขึ้นมาแวบนึง "ทำไมเธอ คิดแต่เรื่อง รวยจนดูเหมือนเป็นเรื่องหลัก ทำไมเธอไม่คิดถึงบุญกุศลที่อาจทำได้จากการขายยาดีๆ ให้คนหายป่ายพ้นทุกข์คลายหายเจ็บไข้ หรือแสดงว่าธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพในปัจจุบันของเธอจะทำให้สังคมดีมีความสุขได้อย่างไร พูดแต่เรื่องโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาลเพียงอย่างเดียว???." ศรัทธาเองก็อยากรู้ว่า "ค่ายาพ่อที่แพง เป็นเพราะเธอทุจริตขายยาราคาแพงกว่าที่ควรด้วยหรือเปล่า???"

น้ำตาแทบจะไหลออกมาจากจิตใจที่เจ็บปวดของคนชั้นกรรมาชีพที่ทุกข์ยาก ที่ต้องจ่ายค่ายาในราคาแพงจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว

ในการฟังแผนธุรกิจนี้เน้นแต่คำว่า รวยๆๆ เท่านั้น ยิ่งทำยิ่งรวย ยิ่งหาสมาชิกเพิ่มได้มากยิ่งรวยไม่รู้จบ หลายคนในห้องที่เพิ่งมาฟังเริ่มตื่นเต้น

บรรยากาศในห้องนี้อบอวลไปด้วยความอยากรวย การอยากเอาจากคนอื่น

พอถึงช่วงสมัครสมาชิกที่ต้องเสียเงินค่าสมัคร 5,000 บาท ก็ปรากฏว่าจริงๆ แล้ว คนเข้าฟังมากกว่า 150 คนนั้น มีคนใหม่ที่ยังไม่เป็นสมาชิกเพียง 50 คน คนมาใหม่ ถูกแยกวงไปโน้มน้าวแบบ 2 ต่อ 1 ราคาค่าสมาชิก 5,000 บาท ถ้ายังไม่มีสามารถผ่อนชำระ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน สรุปคือต้องรีบสมัคร สมัครช้าไปวันเดียว ความรวยจะลดลง สมัครแล้วจะได้ใบรับสินค้าที่จะส่งมาจากต่างประเทศ

บรรยากาศอึดอัด และศรัทธาก็ไม่อยากสมัครสมาชิก เพราะคิดว่าน้ำฟักทองที่เขาขาย มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารไม่น่าจะแพ้อาหารเสริมราคาแพงอะไรนั่นแต่อย่างใด แถมยังช่วยเกษตรกรไทย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศไทย แต่ศรัทธาก็ยังถูกโน้มน้าวอย่างต่อเนื่อง

ชายคนหนึ่งที่ร่วมฟังแผนธุรกิจยืนขึ้นบอกว่า "โทรตามเพื่อนๆแล้วเขาสนใจมาก เดินทางมารออยู่ข้างนอกอยากเข้ามาร่วมด้วยเลยในตอนนี้จะได้ไหม" เมื่อผู้ดำเนินรายการบนเวทีอนุญาต ตำรวจหลายนายก็กรูเข้ามาจนเกิดความชุลมุน ตำรวจมาจับคดีแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชน ตำรวจล้อมไว้หมดทุกด้าน เพราะดูสถานการณ์อยู่นานแล้ว

ศรัทธาจึงรอดพ้นจากความอึดอัด และถูกกันตัวเป็นพยาน สุดท้ายอดีตพนักงานขายยาพร้อมแกนนำหลายคน รวมทั้งอดีตแฟนเก่าของศรัทธาถูกจับตัวดำเนินคดีข้อหาหลอกลวงประชาชน มองหน้าแฟนเก่าแล้วปวดร้าว เขารักหวังดีกับเธอสารพัด แต่เธอกลับมาหลอกเขาได้ลงคอ

และแล้ว ความรู้สึกว่าจะเจอใครคนหนึ่งที่น่าสนใจก็เป็นจริง

ระหว่างที่นั่งรอให้ตำรวจสอบปากคำ ศรัทธาได้รู้จักกับลุงปสาทะ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่มาฟังแผนธุรกิจด้วยเหมือนกัน ลุงปสาทะมีประวัติไม่สวยงามนัก เพราะเคยถูกจำคุกด้วยข้อหาปรุงยาแผนโบราณผสมสารเคมีอันตราย ตอนที่มีโรคระบาดในหมู่บ้าน ลุงเล่าว่าลุงนั้นรู้ว่าเป็นฝีมือสำนักทรงจอมปลอมที่เปิดรักษาโรคในราคาแพงรายหนึ่ง ซึ่งเสียผลประโยชน์จากยาสมุนไพรราคาถูกของลุงที่ใช้ได้ผลดี ทำให้คนขึ้นตำหนักทรงน้อยลง เขาจึงแอบให้คนเอาสารเคมีอันตรายใส่ในยาของลุง แล้วนำไปส่งตรวจ ลุงเลยได้ไปใช้และสอนวิชาจับเส้นบีบนวด การใช้สมุนไพร ปลูกสมุนไพรในคุกเสียหนึ่งปี เพราะลุงไม่อยากสู้คดี ลุงบอกว่าคิดว่าใช้กรรมเก่า และยังได้ช่วยเหลือคนในคุกซึ่งปฏิบัติต่อลุงอย่างดี

ศรัทธาคิดว่าตัวเองตั้งใจทำดีไปขัดขวางผลประโยชน์คนอื่น ถึงกับต้องตกงาน แต่ของลุงร้ายแรงกว่านั้น ถึงขั้นติดคุกติดตาราง

เมื่อทราบจากศรัทธาว่า พ่อป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง และทรมานจากผลข้างเคียงของยา ลุงปสาทะก็บอกว่า สมุนไพรในการแพทย์แผนไทยที่มีความเก่าแก่ยาวนาน อาจช่วยบรรเทาหรืออาจจะถึงขั้นรักษาโรคร้ายของพ่อของศรัทธาได้ แม้จะรู้สึกศรัทธาในตัวลุง แต่ก็กลัวที่จะลอง กลัวจะถูกหลอก เพราะอย่างที่รู้ๆ กัน คนที่คอยหาผลประโยชน์จากคนป่วยไข้จำนวนหนึ่ง หากำไรจากคนป่วยไข้ โดยใช้คำว่าแพทย์แผนไทย เช่นพวกยาผสมสารสเตียรอยด์ ทำให้แพทย์แผนไทยดีๆ มีจรรยาบรรณเสื่อมเสียไปด้วย

เขาจึงไปปรึกษากับแพทย์แผนปัจจุบันที่ดูแลอยู่ว่า อยากจะลองรักษากับแพทย์ทางเลือกดูบ้าง เพราะสงสารพ่อที่กินยามื้อละกำ และต้องทนทรมานกับผลข้างเคียงของยาบางตัวซึ่งพ่ออาจจะแพ้ หมอคงจะสงสารศรัทธาที่ขายน้ำฟักทองเอาเงินมารักษาพ่อ จึงแนะนำเภสัชกรที่ศึกษาทางด้านสมุนไพรไทยอย่างลึกซึ้ง คอยให้คำแนะนำ คุณเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แนะนำว่าต้องรู้ส่วนประกอบในตำหรับยา ไม่ใช่บดผสมกันจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร

ลุงปสาทะตรวจดูอาการของพ่อศรัทธาแล้วแสดงความบริสุทธิ์ใจ เขียนรายการยาลงในกระดาษ เป็นชื่อสมุนไพร แยกเป็นรายการๆ ระบุน้ำหนักชัดเจน ประมาณสิบอย่าง บอกให้ศรัทธาลองไปตรวจสอบว่ามีโทษหรือไม่ แล้วอยากไปซื้อจากร้านไหนก็ซื้อได้เพื่อความสบายใจ เพราะลุงปสาทะจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดทั้งสิ้น

หลังจากตรวจสอบกับคุณเภสัชกรที่เชียวชาญทางเภสัชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง จนแน่ใจว่ายาแผนโบราณสูตรนั้นจะไม่มีโทษใดๆ ที่ร้ายแรง และมีสรรพคุณทางบำรุงฟื้นฟูร่างกาย จึงกล้าให้พ่อกินยาสูตรนั้น

ยาไทยอาจถูกโรคกับอาการของพ่อ ศรัทธาเห็นผลว่า อาการพ่อของเขาดีขึ้น กลับมากินข้าวอร่อยปาก และ ระบบขับถ่ายดีขึ้น ดูแข็งแรงขึ้น ไม่ล้มหมอนนอนซม หมอปสาทะบอกว่าสมุนไพรไทยช่วยรักษาสมดุลฟื้นฟูร่างกาย แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องแน่ใจก่อนว่า เป็นยาสมุนไพรจากแหล่งที่เชื่อถือได้ จากคนที่มีความรู้จริงและเชื่อถือได้เท่านั้น

หลายเดือนที่รู้จักลุงปสาทะ ลุงเป็นหมอยาที่ไม่เน้นแสวงหาความร่ำรวยแม้แต่น้อย ลุงปสาทะเป็นคนอาศัยวัดอยู่ ช่วยหลวงตาพระหมอยารูปหนึ่งที่มีใจเมตตารักษาคนป่วย ที่ไม่ค่อยมีเงินจะไปหาหมอแผนปัจจุบัน แกช่วยหลวงตาในการขึ้นทะเบียนตำหรับยาให้ถูกต้อง เพื่อการคงอยู่และพัฒนาของศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ศรัทธาจัดสรรเวลาว่างมาเรียนวิชาสมุนไพร โดยใช้ความรู้ด้านช่างช่วยงานในวัดตามแต่โอกาส เช่นซ่อมระหัดวิดน้ำแบบกงล้อที่ใช้ตักน้ำจากคลองหลังวัดที่มีน้ำไหลเอื่อยเข้าวัด ซึ่ง ทำงานไม่สมบูรณ์มานาน ซึ่งงานนี้ทำให้เขาสนใจในภูมิปัญญาไทยเพิ่มขึ้นอีก

ณ ทุ่งสมุนไพรใกล้วัดที่เจ้าของที่ดินเต็มใจให้ลุงปสาทะยืมทำประโยชน์ได้ตามใจชอบ ศรัทธากำลังใช้วันว่างช่วยงานลุงและเรียนรู้สมุนไพรไปด้วยพร้อมกัน วันนี้เขาและลุงจะเตรียมปุ๋ยหมักจากผักตบชวาและมูลสัตว์เพื่อใช้ในแปลงสมุนไพร

ชุมเห็ดเทศบางต้นกำลังออกดอกสีเหลืองสวยสะพรั่ง ลุงเคยสอนว่า ชุมเห็ดเทศเป็นสมุนไพรกินแก้ท้องผูก และใช้คั้นน้ำผสมปูนแดงที่กินกับหมากทารักษากลากเกลื้อน ถามลุงตอนหนึ่งว่า "ทำไมลุงไม่ปรุงยาขายเองครับ"

ลุงปสาทะตอบว่า "คนป่วยจะไปเอาเงินกับเขาทำไมมากมาย แค่เขาป่วยเขาก็มีทุกข์มากแล้ว ลุงอยากช่วยคนไม่ใช่อยากรวย" ศรัทธาปลื้มใจมากกับคำตอบที่ได้ ศรัทธาสนใจศึกษาวิชาการใช้สมุนไพรหลายอย่างอย่างใส่ใจ เพราะเขาเป็นคนที่ลุงปสาทะสังเกตเห็นได้ว่า เป็นคนที่อยากช่วยเหลือคนอื่นให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องทรมานด้วยความป่วยไข้ ศรัทธาวางแผนที่จะสอบใบอนุญาตแพทย์แผนโบราณในอนาคต

ลุงปสาทะคิดในขณะที่แกกำลังทำงานจัดการกองปุ๋ยว่า แกตัดสินใจไม่ผิด ที่เฝ้าสะกดรอยติดตามศรัทธา ลุงปสาทะได้ยินคำพูดที่ศรัทธาพูดขณะแจกฟักทองให้ยายแก่ยากจนคนหนึ่ง และทำให้ลุงติดตามเขาไป จนได้ไปนั่งฟังการบรรยายแผนธุรกิจของแชร์ลูกโซ่อย่างตกบันไดพลอยกระโจน และได้รู้จักกับศรัทธาในที่สุด คำพูดของศรัทธาในวันนั้นคือ

"ยาย ยายเอาน้ำฟักทองไปกินสิยาย มันบำรุงสายตาและร่างกาย พืชผักไทยเรามีประโยชน์มากนะยาย บำรุงร่างกายให้แข็งแรงจะได้ไม่ต้องป่วยไปหาหมอ เสียค่ายาแพงๆ"
.........................................................

เกือบบ่ายโมง ศรัทธากับลุงนั่งหยุดพักเหนื่อยจากการเตรียมปุ๋ยบำรุงแปลงสมุนไพร อากาศวันนั้นร้อนมาก แต่ศรัทธาก็ยังมีความสุขจากใจที่ชุ่มเย็นใต้แดดร้อน มองดูแปลงสมุนไพรที่กำลังชูใบไสวรับแดดอันร้อนแรง เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการเติบโต ร่วมกับแร่ธาตุอาหารอันอุดมในดิน ความชุ่มชื้นของน้ำ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสสารอันทรงคุณค่า เพื่อรอให้คนที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเก็บเกี่ยวไปใช้ รักษาบรรเทาทุกข์จากโรคภัย ศรัทธาคิดว่าลุงก็คงคิดไม่ต่างกัน

ถามลุงว่า "ลุงครับ ลุงคิดว่าโรคอะไรน่ากลัวที่สุดครับ" มันคงเป็นคำถามสำคัญ ลุงเอาผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ นิ่งไปเพื่อเรียบเรียงคำตอบ
"โรคทางใจทำคนตายมามากกว่าโรคร้ายอื่นอีก ความโลภ อยากรวย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน หมอยาดีๆ ช่วยคนป่วย ก็ถูกคนโลภที่เสียผลประโยชน์ปิดทาง กีดกันกลั่นแกล้ง คนมีวิชาก็หวง กลัวคนอื่นจะรวย จนตำราดีๆสูญหาย ไม่ได้ใช้รักษาคน คนไม่รู้จริงแต่โลภ ขายยาไม่ได้เรื่องในราคาแพง ทำบาป หลอกคนที่ทุกข์ให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก

ดูอย่างคนขายยาสิ ไม่นึกถึงว่าตัวเองกำลังทำงานสร้างบุญ คิดแต่อยากรวย ทำแชร์ลูกโซ่ ยาของไทยเราดีๆ ทั้งนั้น ไม่ช่วยกันสนับสนุน ขนาดฝรั่งยังเอาไปวิจัยจดสิทธิบัตร แต่เรามองข้ามไปหมด คนป่วยเลยต้องจ่ายค่ายาแพงๆ ให้ต่างประเทศ จนบางคนหมดบ้านหมดที่หมดตัว

ระวังโรคทางใจนะศรัทธา โรคทางกายอย่างมากก็ตาย แต่โรคทางใจสร้างความเดือดร้อนมหาศาลข้ามภพชาติ และโรคทางใจบางคนก็ไม่รู้ว่ามันทำร้ายเราอยู่ ไอ้พวกที่หาความร่ำรวยตามที่ลุงเล่ามา บางคนก็ไม่รู้เลยว่าได้สร้างกรรมชั่วที่จะส่งผลไปในอนาคต ที่สุดท้ายตัวเองก็ต้องไปรับผลของกรรมนั้น ตามกฏแห่งกรรมวิบาก"

คงเป็นเพราะแรงดึงดูดทางจิตวิญญาณของคนทั้งสองที่ต่างปรารถนาให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์จากโรคภัย ที่นำคนสองคนที่ต่างวัยนี้ให้มาอยู่ในทุ่งสมุนไพรนี้ และร่วมกันทำประโยชน์เพื่อคนอื่นต่อไป

ที่มา
http://www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=569&Itemid=67
http://www.dharmamag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=562%3A2011-11-09-15-53-39&catid=39%3Afiction&Itemid=27