Thursday, November 17, 2011

เรื่องเล่า...ผลของกรรม

เอาเรื่องนี้มาจากหนังสือของคุณทองทิว สุวรรณทัต

ท่านผู้อ่านที่มีความสนใจเรื่อง "กฏแห่งกรรม"ก็ดี หรือในเรื่อง "วิญญาณมีจริงหรือไม่" ก็ดี คงจะสมปรารถนาถ้าได้อ่านเรื่องต่อไปนี้ เพราะผู้เขียนได้รับความเมตตาจากพระเถระรูปหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์ด้วยตัวท่านเอง กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟัง และผู้เขียนขอนำมาถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง

พระเถระผู้เมตตาต่อผู้เขียนท่านนั้นก็คือ พระอาจารย์มหาอำนาจ อินุทสาโร ปัจจุบันอยู่ที่คณะ 23 วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ นี่เอง
พระอาจารย์มหาอำนาจ อินุทสาโร ท่านบรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 14 ปี และเมื่อครบปีบวช ท่านก็อุปสมบทนับแต่นั้นตลอดมา ทั้งเคยออกติดตาม พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะ ร่วมธุดงค์กับพระอาจารย์มั่น ตามป่าดงในภาคอีกสานหลายแห่ง กระทั่งปี พ.ศ. 2488 จึงได้เข้ามาศึกษาเปรียญธรรมที่กรุงเทพฯ โดยมาอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ จนสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
พระอาจารย์มหาอำนาจ มีประสบการณ์เกี่ยวแก่กฏแห่งกรรมอยู่หลายเรื่อง และเป็นเหตุให้ท่านเชื่อว่าผลแห่งกรรมนั้นมีจริง

เรื่องแรก ที่ท่านกรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟัง ได้แก่เรื่อง โทษของการปลอมพระพุทธรูป ดังนี้

ที่จังหวัดพิษณุโลกในสมัยก่อน มีชายคนหนึ่งชื่อ นายเล็ก เห็นว่า พระพุทธรูปเก่าๆ สมัยเชียงแสน สุโขทัย มีราคาสูง ผู้คนนิยม เช่าไปเคารพกราบไหว้บูขาอยู่เสมอ นายเล็กจึงคิดอยากจะรวยบ้าง และเมื่อคิดอยากจะรวย นายเล็กก็ลงมือกระทำอกุศลกรรมโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง นั่นก็คือเริ่มไปหาซื้อพระพุทธรูปใหม่ๆ ที่มีทรงสมัยเชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง หน้าตัก 5 นิ้วบ้าง 7 นิ้วบ้าง มาหลายองค์

ครั้นได้พระพุทธรูปตามต้องการแล้ว นายเล็กก็ใช้น้ำกรดสาดพระพุทธรูปเหล่านั้นเพื่อให้น้ำกรดกัดโลหะ ต่อจากนั้นก็นำพระพุทธรูปไปฝังใต้พื้นดินที่มีชื้นแฉะ และฝังอยู่ประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ถึงขุดเอาขึ้นมา คนที่เห็นพระพุทธรูปของนายเล็กเชื่อว่าเป็นของเก่าทั้งนั้น ไม่มีใครสงสัยเลย

นายเล้กนำพระพุทธรูปเหล่านี้ออกเร่ขายตั้งแต่พิษณุโลกมาจนถึงสิงห์บุรี-อ่างทอง-ยันกรุงเทพฯ

พระมหาอำนาจเล่าว่า

"นายเล็กขายได้หมด อยู่มาหลายปีนายเล็กก็ป่วยมีอาการปวดแสบปวดร้อน คนเมืองพิษณุโลกที่เป็นแม่ลูกอ่อนนอนกระดานอยู่ไฟไม่ได้ตามๆกัน เพราะตั้งแต่สองยามล่วงแล้วนายเล็กจะร้องโหยหวนเหมือนเสียงเปรต! ตอนกลางวันก็จะดูไม่เท่าไหร่ แต่พอดึกสงัด นายเล็กจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สุดพรรณนา เนื้อตัวของนายเล็กนั้นเน่าหมด! ดึงเล็บ เล็บหลุด! ดังหนัง หนังหลุด! ดึงผม ผมหลุด!

กว่านายเล็กจะตายเป็นเวลาหลายปีนะ ต้องรับทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น นี่ก็เพราะผลกรรมเห็นทันตา ไม่ต้องชาติไหน ชาตินี้แหละ คนพิษณุโลกสมัยนั้นถ้าใครเอ่ย "พระตาเล็ก" ล่ะก็คนส่ายหัวเลย.....

ที่ปทุมธานีหลายปีมาแล้วมีชายคนหนึ่งชื่อ ตายง มีอาชีพเลี้ยงไก่ชน และจะพาไก่ไปชนกับผู้อื่นเป้นประจำ แพ้บ้างชนะบ้าง
"เวลาแก่ปวยก็เอาหัวแม่มือชนกัน พลางรองอย่างไก่ อาตมาไปดูกับอาจารย์วัดเสด็จฯ ที่เมืองปทุมฯ ไปดูแล้วอาจารย์บอกว่าอย่าไปทรมานแกเลย ปล่อยให้แกอยู่ตามลำพังเถิด ที่น่าเวทนาคือ แกเอาหัวแม่มือชนกันแล้วร้องไปนะ ร้องอย่างไก่ จ๊อก-จ๊อก-จ๊อก! เลือดท่วมมือทั้งสองข้าง เพราะเล็บหัวแม่มือมันทิ่มแทงเอา เวลาจะตายอาตมาไปดู แกเอาหัวแม่มือชนกันเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแรง แล้วร้องอ๊อก! ก็ไปเลย ขาดใจเลย แต่กว่าแกจะตายแกป่วยอยู่นาย ทรมานอยู่นานจึงจะขาดใจ

เสร็จแล้วเขาเอาไปอาบน้ำศพ สวดอยู่เจ็ดวัน พอครบเจ็ดวันก็เอาไปเผา สมัยก่อนเมรุวัดเสด็จฯ เป็นเมรุไม้ พอใส่ไฟก็เห็นลูกไฟหมุนขึ้นไปเบื้องบน เหมือนกับกงจักร หมุนขึ้นไปจนถึงยอดเมรุ ไม้ยอดเมรุก็พังลงมา ไหม้ทั้งเมรุ ไหม้ทั้งศพหมดเลย! ท่านอาจารย์วัดเสด็จฯ ดีใจจะได้สร้างเมรุใหม่ พอมาเผาตายงคนเดียวเท่านั้นก็มีอันเป็นไป อาจารย์ท่านก็ดีใจ จะได้สร้างเมรุใหม่เสียที!"
พระอาจารย์มหาอำนาจบอกว่าเรื่องของตายง นี่เป็นคติที่ทำให้คนเมืองปทุมฯเลิกชนไก่จนบัดนี้
"ไม่กล้าชนไก่กันอีกเลย คนวัดเสด็จฯ ตำบลสวนพริกไท จังหวัดปทุมฯ นี้เอง อยู่ใกล้ๆนี่ แต่มันหลายปีมาแล้วนะ อาตมาจำไม่ได้ว่าปีอะไร"